วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ทัศนคติที่ดี เป็นพื้นฐานในการมีชีวิตที่ดี

ผมค่อนข้างมีความ เชื่ออย่างมากว่า ทัศนคติ มีส่วนสำคัญอย่างมาในการดำรงชีวิตของคนเราแทบทุกคน คำว่า “ทัศนคติ” นั้น ถ้าจะเขียนกันง่ายๆ ก็คือ มุมมองของเราที่มีต่อเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ว่าเรามองอย่างไร มองทางบวก หรือมองทางลบ ซึ่งมุมมองนี้แหละที่มีส่วนอย่างมากในการทำให้บางคนประสบความสำเร็จในการทำ งาน ทำให้บางคนมีความสบายใจแม้ว่าจะอยู่ในช่วงแห่งความทุกข์ยาก ทำให้บางคนมีความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม แม้ว่าจะเพิ่งล้มไปก็ตาม


ด้วย อากาศที่ร้อนระอุ และเราเองก็เดินทางมาไกลมาก รู้สึกร้อนและกระหายน้ำอย่างมาก พอมาถีงร้านอาหารเราก็สั่งน้ำมาดื่มก่อนเลย พนักงานนำน้ำมาให้เรา แต่มาแค่ครึ่งแก้วเท่านั้น เราจะคิดอย่างไร คำตอบจะมีอยู่ 2 ทางก็คือ


* “ทำไมเทน้ำมาให้แค่ครึ่งแก้ว แค่นี้มันจะไปพอแก้กระหายได้อย่างไร”
* “ว้าว น้ำตั้งครึ่งแก้ว อย่างน้อยก็ช่วยให้เราแก้กระหายและดับร้อนได้บ้าง”


ลอง คิดดูว่าเราจะเป็นแบบไหนในสถานการณ์ที่เล่ามา ถ้าเป็นแบบแรก นั่นก็แปลว่า เรามีแนวโน้มที่มีทัศนคติที่ไม่ดี คือมองโลกในแง่ลบเอามากๆ เลย ลองคิดดูนะครับ ถ้าเราคิดแบบนั้น ยิ่งทำให้ใจเราร้อนไปอีก จากนั้นก็จะมีแต่ความโกรธ โกรธที่พนักงานนำน้ำมาให้เราน้อยไป โกรธที่ไม่ได้ดับร้อนสักที กายที่ร้อนอยู่แล้ว ใจยิ่งร้อนเข้าไปใหญ่ เมื่อร้อนแล้ว อะไรๆ ก็จะดูแย่ไปหมด ความคิดความอ่านของเราก็จะมีจำกัด


แต่ ถ้าเราเป็นแบบที่สอง นั่นคือคนที่มีทัศนคติในทางบวก มองโลกในแง่ดี คิดบวก ซึ่งความคิดบวกแบบนี้ จะทำให้เราสามารถมีจิตใจที่เย็นลง และสามารถรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่แย่ๆ ได้อย่างมีสติ


ทัศนคติ เป็นสิ่งที่เราเลือกมองได้ ไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด เราจะมองโลกอย่างไรนั้น อยู่ที่เราเลือกที่จะมอง ในเมื่อเราเลือกได้ ทำไมเราต้องเลือกที่จะมองในแง่ลบล่ะครับ นั่นก็คือ คนเรามักจะใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ เพราะมันง่ายดี ไม่ต้องบังคับหรือฝืนใจตัวเองบ่อยๆ แต่การทำแบบนี้จะยิ่งทำให้จิตใจของเราหลงระเริงออกไปอีก เมื่อเราไม่สามารถควบคุมความคิดหรือจิตใจของเราได้ ไม่นานนักเราก็จะถูกจิตด้านมืดเข้าครอบงำ นานวันเข้า เราก็จะมองโลกในแง่ร้ายไปตลอด


ผมเคยเจอเพื่อนอยู่คนสองคน ที่มักจะบอกว่า ชีวิตเขาเกิดมาไม่มีอะไรดีเลย พ่อแม่ไม่รัก เพราะเป็นลูกคนกลาง เรียนหนังสือก็ไม่เก่ง เพื่อนก็ไม่คบด้วย เวลาทำงาน ก็มักจะถูกเจ้านายตำหนิบ่อยๆ และจะมีความคิดว่า “วันนี้ต้องโดนด่าอีกแน่เลย” หรือ “วันนี้ต้องมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับเขาแน่นอน” วนเวียนอยู่ในจิตใจเสมอมา ยิ่งเราคิดอะไรแบบนี้ ก็จะทำให้เราเจอสถานการณ์แบบที่เราคิดไว้ง่ายขึ้น ฝรั่งเขาเรียกกันว่า “กฎแห่งการดึงดูด” เราคิดอะไรบ่อยๆ มันก็จะสามารถดึงดูดเอาสิ่งนั้นเข้ามา


ผมชอบคำอยู่ 2 คำคือ คำว่า “Response + Ability” ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์เราสามารถทำได้ สัตว์ประเภทอื่นนั้นไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้เลย สัตว์ทั่วไปจะตอบสนองทุกอย่างตามสัญชาติญาน ส่วนมนุษย์เรานั้นสามารถเลือกที่จะตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ เพียงแต่เรามีสติให้มากพอเท่านั้น และการเลือกที่จะตอบสนองนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับทัศนคติที่เรามองโลกด้วยเช่นกัน


ถ้าจู่ๆ มีคนขับรถมาตัดหน้าเราอย่างกระชั้นชิด เราจะตอบสนองอย่างไร เราจะเลือกตอบสนองแบบร้อน หรือแบบเย็น แบบร้อนก็คือ ต้องขับไปตัดหน้ามันกลับคืนบ้าง ให้มันรู้ซะบ้างว่า ใครเป็นใคร ถ้าเราตอบสนองแบบนี้ อะไรจะเกิดขึ้นครับ แน่นอน อุบัติเหตุอาจเกิดขึ้นได้ หรือไม่ก็เกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกัน เสียเวลา เสียทรัพย์สิน


แต่ ถ้าเราตอบสนองแบบเย็น ก็คือ คิดว่า “เขาอาจจะรีบก็ได้ เราไม่ได้รีบไปไหน ไม่เป็นไรหรอก ให้เขาไปก่อนก็ได้” ถ้าคิดแบบนี้ผลจะเป็นตรงกันข้ามกับเมื่อสักครู่เลย ก็คือ ไม่เกิดเรื่อง ไม่เสียทรัพย์ และแถมยังไม่ร้อนใจอีกด้วย เราก็จะสบายใจ และไม่ต้องเอาเหตุการณ์นั้นมาคิดมาก จนทำให้จิตใจเราร้อนรุ่มตลอดเวลา


“วันนี้คุณเลือกที่จะตอบสนองกับเหตุการณ์ที่ไม่ดีที่เข้ามาในชีวิตอย่างไร”

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=hrman&month=11-2009&date=04&group=2&gblog=32

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น