วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

การแข่งขันกันเพื่อสร้างบารมีด้วยอำนาจเงิน

**บิลล์ เกตส์ vs วอเรน บัฟเฟต vs ทักษิณ ชินวัตร..การแข่งขันกันเพื่อสร้างบารมีด้วยอำนาจเงิน**


"อำนาจเงิน"
เป็น อำนาจที่เกิดจากการใช้จ่ายโดยผู้มีพลังทางการเงินเท่านั้น พวกทแคะกระปุกเงินกระจิ๊บกระจ๊อย กระปริดกระปรอย ไม่เป็นบ่อเกิดของอำนาจเงิน ในความหมายนี้นะครับ

"บารมี"
คำว่า "บารมี" ขณะนี้กำลังเป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างสนุกปาก ทราบหรือไม่ว่า บารมีนั้น เป็นการสั่งสมขึ้นมาจากการกระทำความดี ไม่ใช่ความเลว!!

ใครมีอำนาจเงินก็สามารถสั่งสมบารมีได้ เป็นบารมีของมหาเศรษฐีที่มีจิตใจงดงาม

"อิทธิพล"
คือ อำนาจที่ถูกสั่งสมขึ้นมาเพื่อนำมาใช้เป็นสิทธิประโยชน์ส่วนตนเพื่อให้มี เหนือบุคคลธรรมดาทั่วไป เป็นอำนาจเลวร้ายเพราะคุกคามสิทธิมนุษยชนของผู้อื่น

ดังนั้น..
อำนาจเงินจึงสร้างได้ทั้งบารมี และ อิทธิพล อยู่ที่เป้าหมายในจิตใจของผู้ใช้

บารมี มีแต่คนเคารพ ชื่นชม
แต่..
อิทธิพล มีแต่คนหัวหด สาปแช่ง
...........................................

ใน บรรดามหาเศรษฐีของโลกที่ติดอันดับ ๗๙๓ คนของนิตยสารที่ทรง "อิทธิพล" ฉบับหนึ่ง มีน่าสนใจที่คนไทยเราควรรู้ มีทั้งที่ควรถือเป็นแบบอย่าง และที่ควรละทิ้งแบบอย่าง มีทั้งที่น่าเคารพนับถือ และน่าสะอิดสะเอียน จากการนำอำนาจเงินมาใช้

ผมขอคัดบทความบางตอนจากนสพ.มติชน เกี่ยวกับมหาเศรษฐีชาวอเมริกันสองคน ดังนี้..

............

มหา เศรษฐีใหญ่อันดับหนึ่งของโลกอย่าง "บิลล์ เกตส์" ประกาศลดบทบาทการบริหารไมโครซอฟท์อย่างเป็นจังหวะขั้นตอน ก่อนจะวางมือไปในที่สุด เพื่อจะได้ทุ่มเทเวลาให้กับมูลนิธิการกุศล ช่วยเหลือสังคมที่มีวงเงินหมุนเวียนมหาศาลที่สุดในโลกประมาณ 1 ล้านล้านบาท ที่ตัวเขาเองและภริยาก่อตั้งขึ้นมา

มูลนิธิองค์กรการกุศลแห่งนี้ สนับสนุนการศึกษา เทคโนโลยี การศึกษาวิจัย ค้นคว้า รวมถึงให้ความช่วยเหลือผู้ที่ต้องดิ้นรนต่อสู้กับโรคร้าย โดยตั้งความหวังไว้ว่า วันหนึ่งจะพบหนทางเยียวยารักษาโรคติดต่อร้ายแรง มัจจุราชคุกคามคร่าชีวิตมนุษย์ 20 โรคร้ายแรงทั่วโลก

"บิลล์ เกตส์" มีทรัพย์สินเงินทองมหาศาล 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินบาทร่วมสองล้านล้านบาท เป็นมหาเศรษฐีใหญ่อันดับ 1 ของโลก เพื่อนรุ่นพี่ "บิลล์ เกตส์" คือ "วอร์เรน บัฟเฟตต์" แห่งเบิร์กเชียร์ แฮธะเวย์ บริษัทเพื่อการลงทุนและธุรกิจประกันภัยรายใหญ่ของโลก รวยเป็นอันดับสอง มีทรัพย์สินรองจากน้องคนนี้อยู่ที่ประมาณ 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์

เมื่อเดือนกันยายน 2547 บิลล์ เกตส์ บริจาคเงิน 2.8 หมื่นล้านเหรียญ หรือประมาณ 1 ล้านล้านบาท เข้ามูลนิธิของตัวเอง สร้างความฮือฮาในหมู่มหาเศรษฐีโลกอย่างยิ่ง

แต่นั่นไม่ได้สร้างความแปลกประหลาดใจเท่าครั้งนี้

ไม่ กี่วันมานี้ "วอร์เรน บัฟเฟตต์" ประกาศบริจาคเงินก้อนใหญ่ที่สุดเท่าที่มีมาในสหรัฐอเมริกา 3.7 หมื่นล้านเหรียญ หรือร้อยละ 85 ของทรัพย์สิน ให้กับองค์กรการกุศล มูลนิธิ "บิลล์เกตส์" หรือ "บิลแอนด์เมลินดา เกตส์ ฟาวน์เดชั่น"

"บิลล์ เกตส์-บัฟเฟตต์" ไม่ใช่พระเจ้า หากแต่เป็นนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่ ใช้ความเป็นอัจฉริยะตักตวงผลประโยชน์จากสังคมโลกทุนนิยมได้อย่างมหาศาล สร้างตัวจากไม่มีอะไร กระทั่งเติบใหญ่ทรัพย์สินเงินทองล้นเหลือ

ทั้ง คู่เคยประกาศมาก่อนว่า ไม่มีความคิดมอบทรัพย์สินให้กับทายาท ด้วยเชื่อว่าสิ่งนี้จะเป็นผลร้ายย้อนกลับมาทำร้ายทิ่มแทงลูกหลานตัวเองใน ท้ายที่สุด

ประการสำคัญก็คือ หากโอนถ่ายให้ทายาท โอกาสที่จะทำงานเพื่อสังคมจะลดน้อยลง!!

ความ คิดของสองมหาเศรษฐีนี้แปลกประหลาดเอาการอยู่ ทั้งคู่คงไม่คิดถึงขั้นเอาเงินไปบริจาคทั้งหมด ไม่เหลือไว้ให้ลูกหลาน คงเพียงต้องการสะท้อนแนวทาง ปลูกฝัง ไม่ให้งอมืองอเท้า ต้องรู้จักบุกเบิก ริเริ่ม สร้างสรรค์ ต่อยอด สร้างมูลค่าเพิ่ม หรือหันเห มองหาลู่ทางใหม่ โดยให้การสนับสนุน ประคับประคอง คอยให้คำปรึกษาชี้แนะอยู่เบื้องหลัง

กระนั้น คำพูดที่เคยประกาศไว้ได้สร้างภาพความเป็นพระเจ้าแก่เขาทั้งสอง เกิดความประทับใจในภาพลักษณ์ธุรกิจการค้า ลูกค้าบุคคล องค์กร บริษัทห้างร้าน พร้อมให้การอุดหนุน เพราะเชื่อว่าเม็ดเงินส่วนหนึ่งที่จ่ายไปจะกลับมาเจือจุนสังคม

กิจการจึงแข็งแกร่ง ไม่มีใครคิดรณรงค์บอยคอต

สิ่ง หนึ่งอันเป็นความจริงแท้แน่นอน ไม่ต้องสร้างภาพก็คือ มหาเศรษฐีทั้งสองแสดงให้เห็นถึงความจริงใจและตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยว บริจาคทุ่มเทจริง จนเป็นที่ประจักษ์ ลบความเคลือบแคลงสงสัย และคำถามค้างคามากมายไปแทบหมดสิ้น!!
............................

เอา ล่ะครับ จากบทความดังกล่าว มาถึงบทวิเคราะห์ของผมเกี่ยวกับมหาเศรษฐีที่ตอนนี้มากด้วย "บารมี" ไปแล้ว กับมหาเศรษฐีอีกคนหนึ่งของไทย ที่ "ดูเหมือนจะมากด้วยบารมีแต่กลับไม่มีบารมี" แต่แน่นอนที่สุด คือ "มากด้วยอิทธิพล"

นายบิลล์ เกตส์เพิ่งจะอายุ 51 ปี ประกาศวางมือจากการจัดการบริหารธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้เสีย แล้ว เพื่ออุทิศเวลาที่เหลือในชีวิต "ทำงานเพื่อสังคม" และตั้งเป้าหมายที่จะทำให้ตนเอง "จนลง" จนกลายเป็นเศรษฐีปกติ ด้วยการจะบริจาคเงินเพื่อการกุศล 95% ของทรัพย์สินที่หมุนเวียนของตัวเอง และคงเหลือให้คนในตระกูลเพียงแค่ 5%

ขณะที่วอเรน บัพเฟ็ต อายุ 76 ปีแล้ว เป็นไม้ใกล้ฝั่ง เขาอุทิศทรัพย์สินที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยหุ้นในบริษัทตัวเองเพื่อการกุศล เป็นจำนวนเงินสูงเป็นประวัติการณ์ 3.7หมื่นล้านดอลล์สหรัฐ
การบริจาคเป็น หุ้นนี้ อย่าคิดว่า ด้อยค่ากว่าเงินสดนะครับ เพราะ หุ้นเหล่านี้นำไปลงทุนในกิจการที่มั่นคงและมีกำไร ทำให้มีเงินปันผลตอบแทนกลับมาทุกปีๆ และในอนาคตก็อาจมีมูลค่าสูงกว่า เงินสด ณ มูลค่าปัจจุบันได้

มีข้อสงสัยไหมครับว่า สองอภิมหาเศรษฐีผู้มากบารมีนี้คิดอย่างไร จึงทำเรื่องแปลกประหลาดที่ตรงกันข้ามกับมหาเศรษฐีไทย(ทั้งหลาย)

ผมขออธิบายดังนี้..
1) ไม่มีใครบริโภคเงินจำนวนมหาศาลเหล่านั้นได้หมดในชั่วชีวิตของตนเอง การบริจาคส่วนใหญ่ให้สังคม ก็เพื่อหาคนที่ไม่มีโอกาสบริโภคมาร่วมกันบริโภคให้หมดไป เป็นกุศลกับสังคมกว้างใหญ่

2) เงินที่บริจาคออกไป ไม่มีวันหมด นับวันก็จะยิ่งเพิ่มพูนครับ ยกตัวอย่าง..
บิลล์ เกตส์ มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นทุกปี ๆ ละ ประมาณ 3.0พันล้านดอลล์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย (เฉพาะส่วนที่เพิ่มนี้) ก็เป็นเงิน 120,000ล้านบาท มากกว่าเศรษฐีขี้ฉ้อหลายคนที่อุปโลกว่าตัวเองร่ำรวยขึ้นมาจากน้ำพักน้ำแรง ทั้งชีวิตเสียอีก
ส่วนนายวอเรน บัฟเฟ็ตก็ไม่น้อยหน้า ทุกปีมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นกว่า 2 พันล้านดอลล์ หรือ 80,000ล้านบาทไทย

และ ยิ่งยริจาคมากเท่าไร ชื่อเสียงความดีงามและธุรกิจของพวกเขาก็ยิ่งรุ่งเรืองและได้รับความนิยมเป็น เท่าทวีคูณ เพราะมีคนรักมากกว่านักธุรกิจตะกละตะกลามที่เป็นคู่แข่ง จริงไหมล่ะครับ

3) ในอดีต เศรษฐีอันดับต้นๆ หนีไม่พ้นอิทธิพลของนักการเมือง เข้ามาบีบ เข้ามาแทรก เพื่อขอให้มีเอี่ยวในการประคับประคอง "อำนาจ" ของตน การประกาศบริจาคเงินส่วนใหญ่ออกไป จึงเหมือน "เกราะ" คุ้มกันไม่ให้ผู้มีอำนาจทางการเมืองเข้ามาตอแยได้โดยง่าย และพวกเขาก็ไม่ต้องการ "อิทธิพล" คุ้มครองจากรัฐ เพราะมี "กระแสนิยม" จากมหาชนเป็นผุ้คุ้มครองอยู่แล้ว

เอ..
ทำไมตระกูลชินวัตร ที่ร่ำลือกันว่า รวยอันดับหนึ่งของเมืองไทย จึงเต็มไปด้วยข้อครหา เล่าลือถึงที่มาของเงินและทรัพย์สินนับแสนล้านที่ตนเองบอกว่า หามาด้วยลำแข้ง

แต่..ดูเหมือนมีหลายคนไม่เชื่อถือ และไม่เคารพนับถือฝีมือในการหาเงินนั้นมาได้ ..แม้แต่มหามิตรอย่าง สิงคโปร์ ตอนนี้มันก็ยัง..งงๆ ไม่หาย

เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะ..
1) ที่มาของเงินจำนวนมาก มิได้สร้างขึ้นจากบารมีในการสั่งสมให้คนยอมรับ

2) เมื่อมีเงินแล้ว ไม่เคยนำเงินไปสร้างให้เป็นบารมี แต่นำไปสร้าง "อำนาจอันทรงอิทธิพลทางการเมือง" แทน

เวลา ตกอับ จึงไม่มีมหาชน(บริสุทธิ์) ออกมาปกป้อง มีแต่คนเหยียบย่ำ ซ้ำเติม สุดท้ายก็ต้อง "ควัก" เงินอีกก้อน มาพยุง "อำนาจ" และ "อิทธิพล" ไม่ให้หลุดลอยไป

อย่าแก้ตัวเลยครับว่า ไม่เคยทุจริต ไม่เคยทำเรื่องเลวร้าย ผู้ที่ออกมาขับไล่ล้วนแต่ผู้ที่ อิจฉาตาร้อน สูญเสียผลประโยชน์ เพราะความเป็นจริง (สัจธรรม) ของโลกมาช้านานทุกยุคทุกสมัย

คนมากบารมีอย่างแท้จริง อำนาจชั่วร้ายใดๆ ก็ไม่สามารถทำลายลงได้หรอกครับ เพราะจะมีอำนาจแห่งความดีอันแท้จริงออกมากอบกู้"บารมี" คืนให้ท่าน โดยท่านไม่ต้องออกปาก และไม่ต้อง "ควัก" แม้แต่บาทเดียว

ว่าแต่ท่านผู้นี้..มี "บารมี" ที่จะให้เขายินดีออกมาปกป้องอย่างแท้จริงหรือเปล่า..ต่างหากล่ะ??
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=honeybonny&month=07-2006&date=07&group=2&gblog=19

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น