วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ชีวิตกับปัญหา เป็นของคู่กัน

ชีวิตกับปัญหา เป็นของคู่กัน

เมื่อ วันหยุดสุด สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสพบปะกับเพื่อนๆ และรุ่นน้องที่เคยเรียนกันมาด้วยกัน ได้ฟังน้องคนหนึ่งพร่ำบ่นให้ฟังว่าชีวิตเขามีแต่ปัญหามากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาตั้งแต่สมัยเรียนก็เกือบจะเรียนไม่จบ พอถูไถจบไปได้ ก็มีปัญหาอีกว่า หางานแทบจะไม่ได้ เพราะแค่ฝ่ายบุคคลเห็นเกรดที่จบมาก็ส่ายหัวแล้ว กว่าจะหางานได้ก็แทบแย่ พอเริ่มทำงานก็มีปัญหากับนายอีก มองกันคนละมุมมอง ผลงานที่ออกมาก็เลยไม่เข้าตานาย สุดท้ายก็ได้ขึ้นเงินเดือนน้อยที่สุดมาเป็นเวลาหลายปี


จากนั้นก็ เริ่มมีแฟน แต่งงานกันไป ก็เริ่มมีปัญหาอีกแล้ว ทะเลาะกันแทบทุกวัน แฟนจะเอาอย่างนี้ แต่เขาจะเอาอย่างนั้น กว่าจะเข้าใจกันได้ ก็เรียกว่าใช้ความอดทนอย่างที่สุด จากนั้นก็มีลูก ปัญหามาอีกแล้ว จะเลี้ยงอย่างไรดี พ่อตาแม่ยาย ก็อยากเลี้ยง พ่อแม่เราก็ไม่ยอม เพราะอยากเลี้ยงเหมือนกัน เลี้ยงตนโตจนจะเข้าโรงเรียนได้ ก็มีปัญหาอีกว่า จะให้ลูกเข้าโรงเรียนอะไรดี


ปัญหาล่าสุดก็คือ บริษัทเริ่มลดคนลง เขาเองก็กลัวว่าจะเป็นหนึ่งในนั้นด้วย ก็เก็บมาคิดมาก ไม่เป็นอันทำงาน เพราะกลัวว่า ไหนจะค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ลูกต้องเข้าโรงเรียน ไหนจะพ่อแม่ที่แก่เฒ่าก็ต้องดูแล ไหนจะเมียที่ยังคงชอบชอปปิ้งอยู่ตลอด……………………………. ฯลฯ


นี่เป็น แค่ส่วนหนึ่งของที่รุ่นน้องคนนี้เล่าให้ฟังนะครับ มันทำให้ผมคิดว่า คนเราทุกคนล้วนเจอกับปัญหาของแต่ละคนอยู่แล้ว บางคนเจอปัญหาหนัก บางคนเจอปัญหาเบา ปัญหาจะหนักสักแค่ไหนนั้น ผมว่าอยู่ที่มุมมองหรือทัศนคติของคนที่ประสบกับปัญหานั้น บางปัญหาเราอาจจะมองว่า เล็กนิดเดียว แต่สำหรับบางคนนั้นปัญหาเดียวกัน กลับกลายเป็นปัญหาใหญ่หลวงมาก


เมื่อพบกับปัญหา สิ่งที่เราต้องทำก็คือ หาทางในการแก้ปัญหานั้น ไม่ใช่ปล่อยให้ปัญหานั้นมาแก้ไขตัวเราจนเราไม่เป็นตัวของตัวเอง มาทำให้เรากลัดกลุ้มใจ จนไม่เป็นอันกินอันนอน สุขภาพจิตก็เสีย พลังใจก็หายไปอีก สุดท้ายก็ยิ่งเป็นปัญหาหนักเข้าไปอีก สิ่งที่อยากแนะนำก็คือ ลักษณะของปัญหานั้นมีอยู่ 2 อย่างเท่านั้น คือ ปัญหาที่แก้ได้ กับปัญหาที่แก้ไม่ได้


เมื่อเจอกับปัญหาสิ่งแรก ที่จะต้องทำก็คือ วิเคราะห์ปัญหานั้นว่า เป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขได้หรือไม่ ถ้าแก้ได้ ก็ให้รีบวางแนวทางในการแก้ไขปัญหานั้นซะ อย่าไปกลุ้มใจให้มากมายนัก ผมว่าเอาพลังในการกลุ้มใจนั้นเปลี่ยนให้เป็นพลังในการแก้ไขปัญหาจะดีกว่านะ ครับ


หรือถ้าเจอกับปัญหาที่แล้วคิดแล้วว่าแก้ไม่ได้แน่นอน ถ้าเป็นในกรณีนี้ ก็ให้เราปล่อยทิ้งไปซะ อย่าไปคิดให้เหนื่อยใจเลยครับ เพราะคิดไปปัญหาก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้อยู่ดีครับ เปลี่ยนมุมมองและทัศนคติเสียใหม่ ไปมองมุมอื่นและสร้างพลังให้เราเองในการต่อสู้กับชีวิตต่อไป อย่าให้ปัญหาที่เราเจอมาเป็นตัวบั่นทอนพลังใจของเราเลยครับ ชีวิตเรายังไปได้อีกไกลครับผม


อยากฝากข้อคิดสุดท้ายไว้สักหน่อย เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหา ผมอ่านเจอในหนังสือภาษิตของธิเบต เขียนไว้ดังนี้ครับ


“หากปัญหานั้นแก้ไขได้ จะมัววิตกไปทำไม

แต่ถ้าปัญหานั้นแก้ไขไม่ได้ จะมีประโยชน์อะไรที่มัวไปวิตกกังวล”

จริงมั้ยครับทุกท่าน


ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=hrman&month=10-2009&date=28&group=2&gblog=28

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น