วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

MJ: ชีวิตที่ประสบความสำเร็จ

+

อารมณ์"เซ็งเป็ด" หลังเฝ้าน้องสาวของฉันเรียนพิเศษเตรียมเอนทรานซ์สำหรับ"Final Score" ทำเอาฉันต้องฆ่าเวลาด้วยการนั่งรถไฟฟ้ามา ณ สยามดู Michael Jackson : This is it.

ตลอดช่วงชีวิตผู้หญิงวัยทำงานอย่างฉัน ผ่านประสบการณ์ทำงานกับผู้คนหลากหลายและมากหน้าหลายตา ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะสังเกต Michael Jackson ในมุมมองของคนทำงาน

ฉันเชื่อว่าคงมีหลายๆคนที่นิยมอ่านหนังสือฮาวทูตามท้องตลาด และฉันยังเชื่ออีกว่าหนังสือที่คนนิยมอ่านคงไม่พ้น "ทำยังไงถึงจะเป็นที่รัก" , "ทำยังไงชีวิตถึงจะประสบความสำเร็จ" และ "บุคลิกแบบไหนที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิต"

ระยะเวลาราว 2 ชั่วโมงที่ฉันนั่งชมการทำงานของ Michael Jackson ผ่านภาพยนต์ทำเอาฉันประทับใจและอดไม่ได้ที่จะชื่นชมเขา ฉันอยากแบ่งปันฮาวทูฉบับนี้กับอีกหลายๆคนไม่ว่าจะได้ชมเขาผ่าน This is It หรือไม่ก็ตาม

และนี่คือข้อสังเกตเล็กๆน้อยๆที่ฉันได้จากชายที่"ประสบความสำเร็จในชีวิต"อย่างแท้จริง
1.ไมเคิลไม่เคยตำหนิเพื่อนร่วมงาน
-เวลาเขามีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน เขาไม่เป็นฝ่ายว่าหรือตำหนิข้อผิดพลาด แต่วิธีแก้ปัญหาของเขาก็คือ อธิบายว่าทำไม

2.ไมเคิลใส่ใจทุกรายละเอียด
-ใครจะเชื่อว่าเขาเป็นคนคัดเลือก Dancer สำหรับคอนเสิร์ตของเขาเองตั้งแต่รอบแรกที่มีผู้เข้ารับการทดสอบนับพันคนจากทั่วทุกมุมโลก คุณทำได้ไหม ถ้าต้องคัดเลือกลูกน้องวันละกว่าห้าร้อยคนร่วมเดือนให้เหลือสิบคนด้วยตัวของคุณเอง

3.ไมเคิลไม่ก้าวก่ายงานของเพื่อนร่วมงาน
-เขาปล่อยให้แต่ละคนทำงานในหน้าที่ของตัวเอง"อย่างเต็มที่" โดยธรรมชาติ มนุษย์เราจะทำงานได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อได้ทำงานที่ตนถนัด ไมเคิลปล่อยให้เพื่อนร่วมงานของเขาได้แสดงความสามารถของตนเองอย่างเต็มที่ นี่คือลักษณะของ"เจ้านาย"ที่ดี

4.ไมเคิลทำงานเพื่องาน
-เขาไม่ได้ทำงานโดยมี่จุดหมายปลายทางเป็นตัวเงิน แต่เขาทำงานเพื่อ"ผลของงาน" และที่ฉันทึ่งในตัวผู้ชายคนนี้ก็คือ "ผลของงาน"ที่ว่านี่ไม่ใช่อะไร แต่เป็น "ความสุขของคนดู" ฉันประทับใจกับประโยคที่เขาพูดว่า "ผมอยากทำให้คนดูเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น ให้คนดูได้หลบพักจากโลกของความจริง" คุณเคยทำงานเพื่อคนอื่นบ้างไหม คุณเคยทำงานโดยไม่คิดถึงผลตอบแทนกลับมาหาตัวคุณบ้างหรือเปล่า คุณเคยทำงานด้วยสามัญสำนึกของ"ผู้ให้"โดยไม่หวังผลตอบแทนอย่างไมเคิลได้ไหม

5.เวลาไมเคิลเห็นข้อดีของเพื่อนร่วมงานคนไหน เขาพูดชมขึ้นมาทันที
เวลาไมเคิลทำผิดพลาด เขาพูดข้อผิดพลาดของเขาขึ้นมาทันที
มีอยู่สองคำที่ไมเคิลใช้บ่อยที่สุดในภาพยนต์ คือคำว่า "ขอโทษ" และ "ขอบคุณ"

-จะมีสักกี่คน ที่กล้ายอมรับข้อผิดพลาดของตัวเองท่ามกลางเพื่อนร่วมงานนับสิบ จะมีสักกี่คน ที่มีน้ำใจนักกีฬา ยอมรับและชื่นชมความสามารถของผู้อื่นเมื่อเขาทำงานเก่งกว่า ไมเคิลคงไม่รู้ว่านี่คือคุณสมบัติที่ทำให้คนที่ร่วมงานกับเขารู้สึกสบายใจและมีความสุขเวลาที่ได้ทำงานกับเขา

6.ไมเคิลไม่ทำตัวเด่นอยู่คนเดียว

-ในสังคมการทำงานที่มีการแข่งขันสูงและต่างคนต่างพยายามทำตัวเองให้โดดเด่นเพื่อให้เป็นที่ยอมรับหรือ"กดทับ"คนอื่นให้"ดับ" และ"ตาย"ไปคงหาเพื่อนร่วมงานอย่างไมเคิลได้ยาก สิ่งที่ฉันสังเกตเห็นก็คือ ในช่วงหนึ่งของคอนเสิร์ต เขาให้นักกีต้าร์ไฟฟ้าหญิงได้แสดงเด่นเป็นพิเศษ


7.การทำให้คนรอบข้างรัก
-ไมเคิลใช้คุณสมบัตินี้โดยที่เขาไม่รู้ตัวและฉันไม่เคยเห็นหนังสือฮาวทูฉบับไหนเขียน นั่นก็คือ ปฏิบัติต่อคนอื่นแบบ"เราเป็นเพื่อน เป็นครอบครัวเดียวกัน เราต้องช่วยดูแลกันและกัน" นี่คือประโยคที่ไมเคิล แจ็คสัน พูดในวันซ้อมคอนเสิร์ตวันสุดท้าย
เคล็ดลับที่ทำให้ไมเคิล แจ็คสัน ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างแท้จริง มาจากคำๆเดียว
นั่นคือคำว่า "รัก" นั่นเอง


อ่านบทความนี้ แล้วคุณจะรักไมเคิล แจ๊คสัน มากขึ้นอีก

.... “คนเรามักไม่รู้ซึ้งถึงคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่ จนกว่าจะสูญเสียไป“ กรณีของไมเคิล แจ๊คสัน ก็เช่นกัน มีผู้คนร่ำไห้ รำลึกถึงความดี ความสุข ที่เขาได้มอบให้ในช่วงที่มีชีวิตอยู่อย่างมากมาย

ไมเคิล แจ็คสัน เป็นซูเปอร์สตาร์เจ้าของรางวัลแกรมมี่อวอร์ด ถึง 13 รางวัล และยากที่จะมีมนุษย์คนไหนทำได้เช่นนี้อีก นักร้องใจบุญผู้บริจาคเงินก้อนใหญ่ช่วยบำบัดผู้ติดยาเสพติด จนได้รับรางวัลจากประธานาธิบดีสหรัฐ และเป็นเจ้าของมูลนิธิ Heal the world ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือเด็กยากจนทั่วโลก รวมทั้งเป็นผู้แต่งเพลง We are the world ทำเป็นอัลบั้มออกขายโดยนำกำไรที่ได้ ไปแก้ไขปัญหาความอดอยากของเด็กๆในทวีปแอฟริกา

เมื่อครั้งที่เขาออกเดินสายแสดงคอนเสิร์ตตามประเทศต่างๆ (รวมทั้งประเทศไทย) เป็นเวลาสองปี ในชื่อว่า Dangerous world tour ปรากฏว่าเขายกรายได้จากการแสดงรวม 67 รอบ ในส่วนของเขาทั้งหมด ให้กับมูลนิธิการกุศล แต่เรื่องเชิงบวกแบบนี้สื่อมวลชนไม่ค่อยสนใจ กลับไปกระพือข่าวในเรื่องที่เขาไปทำศัลยกรรม ทั้งๆที่เป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน

นอกจากบริจาคเงินจำนวนมหาศาลแล้ว เขายังได้ลงทุนสร้างสวนสนุกส่วนตัวนับร้อยล้านบาท ชื่อว่า เนเวอร์แลนด์ โดยตั้งชื่อเลียนแบบดินแดนในเทพนิยาย เพื่อให้เด็กๆได้เข้ามาเล่นฟรี และรู้สึกมีความสุขมากเมื่อได้เห็นเด็กๆสนุกกัน ซึ่งเขาไม่เคยมีโอกาสเช่นนั้นเพราะเกิดมาในครอบครัวกรรมกรโรงเหล็กที่ยากจน และมีพ่อที่โมโหร้ายมาก เขาถูกจับเฆี่ยนตีเป็นประจำตั้งแต่อายุ 3 ขวบ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ไมเคิลได้ออกรายการโทรทัศน์ พิธีกรพยายามซักถามถึงชีวิตในวัยเด็ก เขาเอามือปิดหน้าร่ำไห้ และบอกว่ามันเป็นบาดแผลที่อยู่ในใจเขาเสมอมา

ไมเคิล แจ็คสัน ยังมีความเป็นเด็กเหลืออยู่มาก ซึ่งเป็นลักษณะปกติของอัจฉริยะบุคคล ทำให้บางครั้ง เขาแสดงพฤติกรรมบางอย่างที่ผู้ใหญ่ทั่วไปจะไม่เล่นกับเด็กขนาดนั้น เป็นเหตุให้ต้องถูกกล่าวหาในคดีล่วงละเมิดเด็กชาย และด้วยการพิจารณาคดีแบบคณะลูกขุนในสหรัฐอเมริกา ซึ่งบางครั้งก็ตัดสินไปตามความรู้สึก ทำให้เขาเสียเปรียบ แม้จะได้พยานอย่าง อลิซาเบธ เทย์เลอร์ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย มาช่วยยืนยันว่า ไมเคิล นอนเตียงเดียวกับเด็กก็จริง แต่ดูภาพยนตร์ของวอลซ์ ดิสนีย์ด้วยกันเท่านั้น เขาไม่ได้ทำอะไรเด็กเลย แต่คณะลูกขุนเชื่อคำให้การของเด็กมากกว่า

ครั้งนั้นเขายอมตัดปัญหาด้วยการมอบเงินให้กับครอบครัวเด็กที่ฟ้องร้องไปกว่า 500 ล้านบาท แต่ปรากฏว่าหลังจากนั้น ก็มีคนจ้องจะฟ้องเขาตามมาอีกมากมาย จนต้องถูกดำเนินคดีอีกหลายครั้ง นับตั้งแต่ปี 1993 และศาลเพิ่งจะตัดสินให้หลุดพ้นจากข้อกล่าวหาทั้งหมด เมื่อปี 2005 แต่สิบกว่าปีที่เขาตกเป็นจำเลย ต้องหยุดการแสดงและหันเข้าหายากล่อมประสาท เพื่อระงับเวทนาที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับมาริลีน มอนโรที่เคยใช้ยานอนหลับเพื่อตัดอุปาทาน (ตัวตน) และแม้ในที่สุดศาลจะตัดสินให้พ้นผิด แต่สุขภาพใจ สุขภาพกายของเขาก็ทรุดโทรมเกินกว่าที่จะเยียวยาแล้ว

นอกจากนั้น เขามักจะถูกค่อนขอด เรื่องการไปทำสีผิว และผ่าตัดศัลยกรรม ทั้งๆที่เป็นสิทธิส่วนบุคคลและการที่เขาเป็นเช่นนี้ ก็เพราะสังคมในยุคนั้น รังเกียจคนผิวดำมาก แม้แต่ไทเกอร์ วู้ดส์ ในวัยเด็ก ก็เคยถูกไล่ออกจากสนามกอล์ฟมาแล้ว และ ไมเคิล เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่เรียกว่าด่างขาว เพื่อกลบเกลื่อนร่องรอย ผิวที่ขาวขึ้นจะทำให้มองเห็นรอยโรคได้ไม่ชัดเจน

เนื่องจากอัจฉริยะบุคคลจะใช้สมองซีกขวาเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสมองส่วนนี้จะไม่ชอบเรื่องเกี่ยวกับตัวเลขและการคำนวณ ทำให้มีจุดอ่อนในเรื่องการใช้จ่ายเงิน และการดูแลผลประโยชน์ แม้ไมเคิล แจ็คสันจะสามารถหาเงินได้อย่างง่ายดาย มากมายมหาศาล แต่เขาก็บริจาคไปจำนวนมาก ให้กับคนใกล้ชิดอย่างไม่เสียดาย รวมไปถึงจ่ายค่าเสียหายในคดีต่างๆ ส่งผลให้มีปัญหาทางด้านการเงิน เป็นหนี้เป็นสิน แต่ก็คาดว่า เขาจะสามารถล้างหนี้ได้ทั้งหมด หลังจากคอนเสิร์ตที่จะจัดในเดือนกรกฏาคมนี้จบลง แต่ก็โชคร้ายที่ต้องมาเสียชีวิตอย่างคาดไม่ถึง

น่าเสียดายกับการจากไปก่อนวัยอันควร โลกนี้ยังตอบแทนให้เขาไม่สมกับความดี ความสุขที่เขาเคยให้กับโลก เช่นเดียวกับ แวนโก๊ะ ปิคาสโซ่ เอลวิส เพรสลี่ย มาริลีน มอนโร เลดี้ ไดอาน่า ฯลฯ ที่เคยประสบกับเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วเช่นกัน และชื่อของ ไมเคิล แจ๊คสัน ก็จะได้รับการกล่าวขานให้เป็นตำนานอันยิ่งใหญ่ของโลกอีกคนหนึ่ง

ส่วนตัวนะ คิดว่า MJ น่ะ เป็นคนดี แต่ที่มีข่าวลือไม่ดีออกมามาก
ก็คือคนพวกนั้น ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วทำไมเค้าถึงทำยังงั้น ไม่เข้าใจ
อย่างเช่น ทำศัลยกรรม MJ ตอนเด็กๆเป็นคนมีปมด้อย
ซึ่งก็มาจากครอบครัวเค้าเอง เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเค้า
แต่เราก็มีโอกาสที่ได้เข้าใจว่าทำไมเค้าถึงทำยังงั้น
MJ เป็นคนที่มีมุมมองคิดที่ไม่เหมือนใคร เพราะงั้น จริงมีคนน้อยคนมาก
ที่จะเข้าใจความคิดเหล่านั้น

04:18PM TH

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น