เรียนจบปริญญาตรีมา กลับไม่รู้สึกเลยว่าตนเองฉลาดมากขึ้นกว่าเดิม
เริ่มมาตั้งแต่เด็กก็เรียนมาในโรงเรียนเอกชนชื่อดังในกรุงเทพ
แต่กลับไม่คิดเลยว่าตรงเองฉลาดเด่นกว่าคนอื่นตรงไหน
อาจจะเพราะแม้ได้เรียนในโรงเรียนชื่อดังนั้น แต่เมื่อเทียบกับคนอื่นในนั้นก็เรียกได้ว่าคะแนนอยู่ในระดับกลาง ๆ
ซ้ำยังอยู่ในระดับต่ำ ความขยันหมั่นเพียรก็ไม่มี ชีวิตก็เรื่อย ๆ ง่าย ๆ สบาย ๆ
เวลาสอบเอนท์ก็ไม่ได้แคร์อะไรมาก เรียนติวก็โดนตลอด
สอบเห็นคะแนนมาครั้งแรกก็พอใจเสียแล้ว เพราะแม้ไม่สูงมาก แต่ก็พอติดคณะที่ต้องการ
พอจะสอบรอบสองก็เลยไม่ตั้งใจมาก เรื่อย ๆ เหมือนเดิม ซึ่งในที่สุดก็ตามหวัง ติดตามคณะที่ต้องการ
ยังมหาวิทยาลัยที่คาดไว้แล้วพอดี
มหาวิทยาลัยนั้นแม้คณะนั้นจะไม่สูงมาก แต่บอกได้เลยว่าเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ
คณะที่ติดก็ดูเหมือนเท่เหมือนเด่นในสายตาคนอื่น ส่วนคะแนนต่ำสุดก็สูงเป็นที่สี่ของประเทศสำหรับคณะนั้น
ตอนแรกที่เลือก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจะเลือกคณะนี้
แค่คิดว่ามันน่าจะช่วยส่งเสริมกับกิจการของครอบครัวได้ก็เท่านั้น
ซึ่งมันก็ถูก แต่พอเข้าไปแล้วถึงรู้ว่ามันถูกไม่หมด !
เวลาเรียนก็เรียนไปเรื่อย ๆ ไม่ยากไม่เย็นอะไร แค่ไม่เคยติดเอฟ หรือดรอปในวิชาไหนก็พอ
และด้วยอาจจะเป็นคณะที่พึ่งเปิดใหม่ไฟแรงสูง วิชาที่เอามาเรียนก็ล้วนแต่เป็นวิชาที่ทันสมัยทั้งนั้น
วิชาของคณะนี้ไม่ใช่แค่ทันสมัยอย่างเดียว แถมยังครอบจักรวาลอีก เรียนหมดทั้งวิทย์ ทั้งศิลป์
ด้วยอาจจะเรียนอย่างครอบจักรวาล จึงทำให้เหมือนไม่เจาะลึกเรียนเน้นมากในแต่ละศาสตร์
พอจบตรีมา ก็เลยรู้สึกงง ๆ ว่าตนเองรู้มากกว่าก่อนเข้าปีหนึ่งตรงไหน ?
จะให้ทำงานในสายงานที่จบมาก็ทำได้ แต่ไม่คิดว่าจะรู้ดี หรือรู้จริงกว่าคนอื่นเขา
ยังไงก็คงต้องทำงานจริงก่อน แล้วเรียนรู้จากที่ทำงานจริงอีกที ถึงจะทำได้
ซึ่งสรุปก็คือ ที่เรียนไปจนจบปริญญาตรีนี้ ไม่รู้สึกว่าตนเองมีความรู้เพิ่มขึ้นสักเท่าไหร่
ทว่า สิ่งที่รู้สึกได้ว่ามีเพิ่มขึ้นกว่าเดิม คือวิสัยทัศน์ และ ทัศนคติที่มีต่อโลกนี้เปลี่ยนไปจากเดิม
ตอนนี้สายตาที่มอง ไม่ใช่สายตาที่มองผ่านตัวเองเท่านั้น แต่เป็นสายตาที่มองผ่านมุมมองและความคิดอื่น ๆ
สายตาที่มองได้ลึกจนถึงเจตจำนงค์ของการกระทำได้มากขึ้น
สายตาที่มองได้กว้างจนเห็นถึงความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงต่อกัน
แม้ไม่ได้รู้สึกว่าฉลาดขึ้น
แต่สายตาที่มองได้ลึกและได้กว้างกว่าเดิมนี้ คิดว่ามันมีความสำคัญกว่าความรู้ความสามารถที่จะได้มาเสียอีก
เพราะความรู้ความสามารถมันเพิ่มพูนกันได้
แต่ทัศนคติที่มองโลกนี้ไปในทางที่ดี และมองโลกนี้ให้เห็นถึงแก่น ให้เห็นถึงปัญหา
มันยากนักที่จะเรียนจะสอนด้วยวิธีธรรมดา
แนวคิด ทัศนคติ และวิสัยทัศน์จะเป็นตัวกำหนดความรู้และความสามารถให้ใช้ได้อย่างที่ถูกที่ควร
และเหมาะสมกับปัญหา
หากไม่มีมีความรู้ความสามารถแค่ไหนมันก็เปล่าประโยชน์
มีวิธีทำ แต่ใช้แก้ผิดปัญหา ปัญหาคงแก้ได้หรอกนะ !
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น