วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

การทึกทักเอาเอง

ก่อนอื่นต้องขออนุญาติอาจาร์ย สิทธิโชคนะคะ บทความนี้หนูชอบมากกกกก ค่ะ


ที่มา http://sithichoke.bloggang.com

ปรากฏการณ์การทึกทักเอาเอง

นิยาย กำลังภายในสมัยก่อนที่ผมชอบอ่านนั้น ตัวเอกมักจะต้องบังเอิญไปพบคัมภีร์วิทยายุทธ์ชั้นเลิศในหุบเขา แล้วต้องอยู่คนเดียวฝึกวิชาตามคัมภีร์นั้นเป็นเวลาเป็นปีๆ กว่าจะออกจากหุบเขาเข้าสู่บู้ลิ้ม ผู้ประพันธ์จึงต้องแต่งเรื่องให้ตัวเอกนั้นมีปณิธานเด็ดเดี่ยว ฝึกวิชาเพื่อแก้แค้นให้พ่อแม่

มิฉะนั้นตัวเอกนั้นต้องบ้าเสียก่อนจะเก่งแน่ๆ เพราะว่าชีวิตของคนเรานั้นต้องอยู่กับคนอื่นๆ ตลอด เราไม่สามารถอยู่คนเดียวนานๆ ได้

นัก จิตวิทยาเคยทดลองให้คนอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถใช้ประสาทสัมผัสได้ คือ อุดหู ปิดตา สวมถุงมือ อยู่ในห้องคนเดียวไม่ให้พบใคร พบว่า ผู้รับการทดลองมักอยู่ได้ไม่นานเกิน 2-3 วัน พวกเขามักจะรายงานว่า เริ่มได้ยินเสียง หรือเห็นภาพหลอนเมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 20 ชั่วโมง

ประสบการณ์ ครั้งหนึ่งของผมที่เป็นอย่างเดียวกันนี้คือ เมื่อผมได้ทุนไปทำงานวิจัยที่เยอรมัน ผมได้ขอให้เจ้าภาพจัดที่อยู่ร่วมกับคนอื่นๆ ไม่ขออยู่คนเดียว เจ้าภาพจัดให้อยู่หอพัก 8 ชั้นร่วมกับนักศึกษา มีห้องนอนส่วนตัว แต่ใช้ครัวและห้องน้ำร่วมกัน ซึ่งผมชอบมากที่จะได้คุยกับผู้คนบ้าง

แต่ วันสุดสัปดาห์วันหนึ่ง นักศึกษาทั้งหอพักกลับบ้านกันหมด มีผมอยู่คนเดียวทั้งตึก 8 ชั้น คืนนั้นผมดันนอนไม่หลับ ดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ ก็มีแต่ภาษาเยอรมัน ผมก็ไม่รู้เรื่อง อ่านหนังสือก็ไม่มีสมาธิ เวลาผ่านไปผมเริ่มรู้สึกว่า ได้ยินเสียงว่า ผมคิดอะไร ผมเริ่มรู้แล้วว่า ชักไม่ดีแล้ว จึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาเลขานุการอาจารย์หัวหน้าโครงการวิจัย ขอให้พาสามีมาด้วย คืนนั้นต้องพากันไปดื่มเบียร์สักพักใหญ่ แล้วค่อยกลับมานอนหลับได้

คนเราต้องสังสรรค์สัมพันธ์กับผู้คนครับ ทั้งที่มันสำคัญต่อเรามากเรายังเห็นความสำคัญของความสัมพันธ์น้อยกว่าควร มักจะเกิดปัญหาในความสัมพันธ์ระหว่างกันเสมอ

เชื่อมั๊ยครับว่า ในการสัมพันธ์กับคนอื่นนั้นเรามักจะมีปัญหาอันเกิดจากตัวเราเองสร้างขึ้น ด้วยเหมือนกัน (ส่วนมากยามที่ความสัมพันธ์มีปัญหา เรามักคิดว่า เขาเป็นคนสร้างปัญหามากกว่าจะคิดว่า เราเป็นตัวสร้างปัญหาเอง)

เรื่อง ที่ผมว่าเป็นตัวการสร้างปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างกันที่สำคัญมากๆ คือ การทึกทักเอาเองตามใจเรา เพื่อให้ดูเป็นวิชาการอย่างศักดิ์สิทธิ์สักหน่อย นักจิตวิทยาเรียกว่า Fundamental Attribution Error ครับ

คนเราชอบที่จะทึกทักเอาเองตามใจเราเสมอเวลาที่เราสัมพันธ์กับใครๆ
ใน ความสัมพันธ์แบบลูกกับพ่อแม่ เราที่เป็นพ่อแม่มักชอบทึกทักเอาตามใจพ่อแม่ว่า ลูกคงอยากได้อย่างนั้น อยากเป็นอย่างนี้ อยากทำอย่างนั้น ด้วยความรักลูกพ่อแม่มักจะจัดการอะไรตามที่ตนเองทึกทักเอาว่า ลูกต้องการ พอลูกแสดงอาการไม่เอาด้วย พ่อแม่ก็จะน้อยใจว่าลูกไม่รักพ่อแม่

ตัวอย่าง ในละครไทยจะเห็นได้บ่อยๆ เมื่อพ่อแม่ทึกทักเอาว่า นางเอกต้องได้ผู้ชายคนนี้จึงจะมีชีวิตที่เป็นสุข แต่นางเอกต้องไม่เอาด้วย เพราะรักพระเอก จนพระเอกต้องเดือดร้อน ทำงานแก้ปัญหาชีวิตของนางเอกกับพ่อแม่

ในความสัมพันธ์แบบชายหญิงเชิง คู่รัก ต่างฝ่ายต่างก็จะทึกทักเอาตามใจตนเองว่า อีกฝ่ายหนึ่งคงเป็นอย่างนั้น ต้องการอย่างนี้ เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น ฝ่ายหญิง (มักเป็นมากกว่าฝ่ายชาย) ชอบทึกทักเอาเองว่า ฝ่ายชายจะต้องซื้อดอกกุหลายสีแดงให้ในวันวาเลนไทน์ พอฝ่ายชายไม่ได้ซื้อให้ก็งอนตามระเบียบให้ง้อ

ในความสัมพันธ์เชิงการ เมืองนั้นชวนขำขันได้เหมือนกัน เมื่อฝ่ายค้านลุกขึ้นมาอภิปรายรัฐมนตรีอย่างรุนแรงแล้วทึกทักเอาว่าทุจริต แน่ พอฝ่ายรัฐมนตรีขึ้นมาชี้แจงก็ตอบว่า ที่ทำมาทั้งหมดนี้ ทำอย่างเดียวกันกับที่ผู้อภิปรายด่าว่าตนนั้นเคยทำเมื่อเป็นรัฐมนตรีกระทรวง นี้เหมือนกัน

แม้แต่ความสัมพันธ์เชิงการทำงานระหว่างเจ้านายกับลูก น้องก็มีการทึกทักเอาตามใจตนเองเหมือนกัน เช่น ลูกน้องมักจะทึกทักเอาตามใจตนเองว่า ตำแหน่งนั้นนี้นายเราคงต้องแต่งตั้งเราเป็น เพราะเรามีคุณสมบัติดีที่สุดกว่ามวลมนุษย์ใดๆ อีกแล้ว พอนายแต่งตั้งคนอื่นก็เสียใจหาว่านายตาบอด มองไม่เห็นความเก่งของตัว พาลโกรธนาย กินเหล้าแล้วด่า กินเหล้าแล้วด่า

จำได้ว่า ตอนเรียนวิชาพฤติกรรมองค์การ อาจารย์เขาเคยให้อ่านกรณีศึกษาที่มี ผู้ชายคนหนึ่งแต่งงานกับสาวอริโซนา แต่ทำงานที่นิวยอร์ค ฤดูร้อนหนึ่งทั้งสามีภรรยาพักร้อนไปเยี่ยมพ่อแม่ฝ่ายหญิงที่เมืองเล็กแห่ง หนึ่งในรัฐอริโซนา ซึ่งทั้งร้อน ทั้งแห้ง และเล็ก

พักอยู่ที่บ้าน พ่อตาแม่ยายได้สัก 3-4 วัน วันหนึ่งพ่อตาทึกทักเอาตามใจตนเอง แล้วคุยปรึกษากับภรรยาว่า ท่าทางลูกเขยคงร้อน เบื่อและเหงา เพราะเคยอยู่แต่นิวยอร์คเมืองใหญ่อากาศเย็น จึงอยากเอาใจลูกเขย เลยชวนไปกินอาหารกลางวันที่อีกเมืองหนึ่งซึ่งต้องขับรถไปครึ่งวัน ที่นั่นมีอะไรสนุกๆ ให้ได้ทำ และอากาศดีกว่าเมืองเล็กๆ อย่างนี้

แม่ยายรีบทึกทักเอาเองว่า ใช่แล้ว เราไปชวนลูกเขยแสนน่ารักกันเถอะ
พอ ไปชวนลูกเขยซึ่งความจริงไม่ได้รู้สึกเหงา ไม่ได้คิดอยากไปเลย แต่ทึกทักเอาเองว่า พ่อตาแม่ยายคงอยากไปเที่ยวบ้าง จึงตอบว่า ตกลง แต่ขอชวนภรรยาไปด้วยกัน

พอสามีมาชวน ภรรยาเองรู้สึกสงสารสามีที่ต้องมาอยู่เมืองเล็กๆ เหงาๆ อย่างนี้รีบทึกทักเอาเองเลยว่า สามีคงเหงาอยากไปเปลี่ยนบรรยากาศ จึงแสดงท่าทีตกลงไปด้วย

ตกลงวันนั้นทั้งหมดใช้เวลาขับรถไปครึ่งวัน รับประทานอาหารกลางวัน แล้วขับรถกลับมาที่บ้านอีกครึ่งวัน

สามีอดรนทนไม่ไหว กระซิบบอกภรรยาว่า เราไม่น่าจะใช้เวลาทั้งวัน ขับรถไปมาอย่างนี้เลยนะ ทั้งเหนื่อย ทั้งร้อน ทั้งเสียเวลา

ฝ่ายภรรยาสวนกลับมาทันทีว่า เอ้า ฉันนึกว่า คุณอยากจะไป ความจริงฉันไม่อยากไปหรอกนะ อยากเอาใจคุณมากกว่า

พ่อตา กับแม่ยายเองก็บอกว่า ความจริงเราทั้งคู่ก็เหนื่อยไม่อยากไปหรอกนะ เราเคยไปแล้ว แต่อยากให้คุณเปลี่ยนบรรยากาศเสียบ้าง เมืองนี้ไม่มีอะไรสนุกให้คุณทำหรอก

ตกลงทั้ง 4 คน ต่างก็ทึกทักเอาตามใจตัวเองทุกคน ไม่มีใครอยากไปสักคนเดียว แต่ทั้งหมดได้ไปจริงๆ

ในเชิงวิชาการ ปรากฏการณ์อย่างนี้เรียกว่า Fundamental Attribution Error

คือ ว่าคนเรานั้น เมื่อเราสังเกตพฤติกรรมของใคร เรามักจะไม่ได้สังเกตเฉยๆ เรามักจะระบุไปด้วยว่า การที่เขาทำอย่างนั้น เป็นเพราะอะไรเป็นเหตุ
คือ เราอนุมานสาเหตุให้กับพฤติกรรมของเขาที่เราสังเกตนั้นด้วย (แถมให้โดยที่เขาไม่รู้) การอนุมานนี้เกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ โดยที่สติของเราไม่ทันจับมัน

และเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนกันว่า เมื่อเราเป็นผู้สังเกต (Observer) เรามักอนุมานสาเหตุของพฤติกรรมของผู้กระทำไปที่สาเหตุภายใน (Internal Causes) ที่เป็นคุณสมบัติภายในอันเป็นส่วนตัวของเขา (Disposition) เช่น นิสัย ค่านิยม ทัศนคติ ฯลฯ

แน่นอนว่า การอนุมานสาเหตุแบบนี้ย่อมมีโอกาสผิด เหมือนกับพ่อตา แม่ยาย ลูกเขย คือ เป็นการทึกทักเอาตามใจตัวเอง ความจริงแล้วเขาอาจจะไม่เป็นอย่างนั้น

เช่น เห็นนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะพูดแสดงเหตุผลแบบกว้างๆ ไม่โต้ตอบแบบฟันธงเมื่อฝ่ายต่อต้านพูดถึงพลทหารที่ตายในบ้านพักแม่ทัพภาค 1 ก็บอกว่า นายกฯ ขี้โกหก ไม่กล้าสู้กับความจริง บิดเบือน เหล่านี้เป็นลักษณะภายในส่วนตัวหมด ซึ่งอาจจะไม่เป็นอย่างนี้ในความเป็นจริง เพราะฝ่ายต่อต้านนั้นทึกทักเอาตามใจตัวเอง

ในอีกมุมหนึ่งนั้น Fundamental Attribution Error เกิดได้อีกแบบหนึ่งคือ เมื่อผู้กระทำ พฤติกรรม (Actor) อนุมานสาเหตุของพฤติกรรมตนเอง เขามักจะระบุสาเหตุภายนอก (External Cause) เป็นเหตุของพฤติกรรมที่เขาแสดงออกไป

เช่น พฤติกรรมที่ฝ่ายเสื้อแดง (Actor) อ้างว่า พลทหารที่ตายไปนั้นเนื่องจากมาร่วมชุมนุมกับฝ่ายเสื้อแดง นั้นเป็นพฤติกรรมที่มาจากเหตุสำคัญคือการต่อต้านอำนาจทหารเข้ามาจัดการกับ พวกเขาอันเป็นสาเหตุภายนอก (External Cause) จากตัวฝ่ายเสื้อแดงผู้กระทำพฤติกรรม (Actor) นั้น

บทเรียนนี้สรุปแล้วเอาไปใช้อย่างไรได้บ้าง

ผม ว่าการระบุเหตุพฤติกรรม (Attribution) นั้นเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนทำ และทำกันอย่างเป็นอัตโนมัติ ผู้ที่อยู่ในความสัมพันธ์แบบไหนก็ตาม ควรจะต้องยับยั้งชั่งใจให้ได้ ด้วยการ

1. อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าจะเป็นอย่างนั้นตามที่เราทึกทักเอาตามใจตัวเอง ถ้าเราเป็นผู้สังเกตพฤติกรรม (Observer) ควรซักไซ้ไต่ถามความจริงกันก่อนที่จะอนุมานเหตุของพฤติกรรมว่า เขาเป็นอย่างนั้นจริงหรือ เขาต้องการอย่างนั้นแน่หรือไม่ มีอะไรเป็นสาเหตุภายนอกมาเกี่ยวข้องหรือไม่

2. ข้อนี้สำคัญมาก ทำให้เกิดการทะเลาะ ฆ่าฟันกันมานักต่อนักแล้วคือ เมื่อเราสังเกตพฤติกรรมใครก็ตาม นักสังเกตพฤติกรรมคนอื่นๆ ก็ทำอย่างเดียวกันกับเราคืออนุมานสาเหตุไปที่เหตุภายในของผู้กระทำ ปัญหาคือ เราอนุมานไม่ตรงกัน เพราะความรักความชอบที่มีต่อผู้กระทำต่างกัน จึงมักก่อให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง เมื่อพูดไปแล้วไปกระทบกระเทือนคนที่เขารัก เขาก็ต้องปกป้อง โดยเฉพาะการเมืองเหลืองแดงในยุคนี้มีปรากฏการณ์แบบนี้บ่อยๆ หลีกเลี่ยงเสียดีกว่าครับ

3. กรณีที่เราเป็นผู้กระทำพฤติกรรม (Actor) เราไม่ควรเพ่งความสนใจไปที่สถานการณ์ภายนอกตัวจนเกินไป เพราะจะทำให้เราละเลยที่จะถามใจตัวเองว่า เราต้องการอย่างนั้นจริงหรือเปล่า เรามีแนวโน้มของทัศนคติ ค่านิยมที่จะตัดสินใจทำอย่างนั้นหรือไม่

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

[[ส ร ร ส า ร ะ]] ฉบับ 4 ....10 ประการ เพื่อเร่งการเผาผลาญอาหาร

กลับมาอีกครั้งค่าาาาา ^^
ไปอ่านบทความกันเลยนะคะ....

แซ น วูดเวอร์ด ผู้มีบทความทางวิชาการเกี่ยวกับสุขภาพมากมาย รวมทั้งยังทำงานให้กับองค์กรเพื่อสุขภาพไม่หวังผลกำไรอย่างอเมซอน โพรมิสและเป็นนักเขียนประจำอยู่ในหนังสือพิมพ์ลอส แอนเจลิส ไทม์ได้แนะนำว่า ไม่ว่าคุณจะพยายามลดน้ำหนักหรือแค่ปรับตัวให้พร้อมรับมือ กับการทำงานของระบบการเผาผลาญที่ช้าลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น ต่อไปนี้ล่ะคือวิธีที่ได้ผลแน่นอนในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบนี้ และช่วยให้มีร่างกายสมส่วน


1. พยายามสร้างมวลกล้ามเนื้อ

ดังเช่นที่กล่าวไว้แล้วเมื่อตอนต้น ว่าระบบการเผาผลาญจะทำงานช้าลงเมื่อเราอายุมากขึ้น ประมาณว่ามันจะทำงานช้าลงปีละ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีบางสิ่งที่คุณทำได้เพื่อต่อสู้กับธรรมชาติ ชารี ลีเบอร์แมน ผู้เขียนหนังสือชื่อ Dare to Lose ให้ความเห็นว่า "กล้ามเนื้อนี่แหละคือตัวบ่งชี้ที่ดีที่สุดถึงระบบเผาผลาญพลังงานจากอาหาร ที่คุณกินเข้าไป ชี้ให้เห็นด้วยว่าคุณเผาแคลอรี่และเผาไขมันไปได้มากน้อยแค่ไหน" เธอยังแนะนำด้วยว่าถ้าคุณต้องการจะเร่งกระบวนการเผาผลาญให้ทำงานดีขึ้น อย่างน้อยก็ควรจะยกดัมบ์เบลหรือดึงแถบยางต้านแรงอย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้ง เพียงเท่านี้มันก็ช่วยได้มากเลยในการเร่งกระบวนการเผาผลาญ และข่าวดีก็คือระบบเผาผลาญของคุณที่ดีขึ้นนี้ จะยังคงทำงานหนักไปได้อีกหลายชั่วโมงทีเดียว ภายหลังจากออกกำลังมาแล้ว


2. เคลื่อนไหวอยู่เสมอ

ถ้าบอกว่าต้องเคลื่อนไหวอยู่เสมอ ใครๆก็รู้ แต่ก็ต้องย้ำกันไว้สักหน่อยล่ะว่าคุณควรจะเคลื่อนไหวแบบไม่ธรรมดา ด้วยการหาเวลาให้ได้สัก 30 นาทีหรือ 1 ชั่วโมง เพื่อมาเดินเร็วๆ, วิ่งจ็อกกิ้ง, ปั่นจักรยาน, ว่ายน้ำหรือออกกำลังกายแบบแอโรบิกบางอย่าง ให้ได้ความถี่อาทิตย์ละ 3 ถึง 4 ครั้ง เรื่องนี้ลีเบอร์แมนคนเดิมบอกว่า "ใครๆต่างก็ไม่ชอบทำแบบนี้ทั้งนั้นแหละ แต่มันก็จำเป็นต้องทำค่ะ"


3. กินเป็นปกติ อย่าได้อดอาหารเป็นอันขาด

ลดน้ำหนักได้แต่อย่าอดอาหาร ฟังดูอาจจะเพี้ยน ๆ หน่อยสำหรับใครก็ตามที่พยายามลดน้ำหนักด้วยการกินให้น้อยๆเข้าไว้ แต่ความคิดแบบเก่า ๆ นี้กลับเป็นปัญหา ตรงที่ว่ามันกลับไปทำให้กระบวนการเผาผลาญทำงานได้ช้าลง ตามคำอธิบายของจูลี เบเยอร์ นักโภชนาการจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนซึ่งกล่าวว่า"ทุกๆเซลในร่างกายเราก็ไม่ ต่างอะไรจากหลอดไฟ เมื่อเรากินอาหารไม่เพียงพอ หรือเปรียบกับได้รับเชื้อเพลิงน้อย เซลหรือไส้หลอดก็จะไม่เผาไหม้สว่างไสว ผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์เมื่อไม่นานมานี้แสดงให้เห็นว่า การรับประทานอาหารมื้อเล็กๆห่างกัน สามถึงสี่ชั่วโมงต่อมื้อ ก็จะช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดี และช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ด้วย


4. ละเว้นน้ำตาล

แน่ล่ะ แม้จะไม่มีน้ำตาล คุณก็ยังเลือกกินอาหารอร่อยๆได้ "เพราะเมื่อใดที่คุณกินน้ำตาลเข้าไป นั่นคือระบบการเผาผลาญจะถูกเปลี่ยนไปเป็นระบบเก็บกักไขมันอย่างรวดเร็ว" ตามที่ลีเบอร์แมนพูด ในเมื่อเธอเป็นตัวตั้งตัวตีในเรื่องการบริโภคอาหารน้ำตาลต่ำ ด้วยหลักความคิดว่าอาหารที่เรารับประทานเข้าไปตามปกตินี้ แม้ไม่มีน้ำตาล มันก็แตกตัวออกเพื่อช่วยรักษาระดับนำตาลในเลือดอยู่แล้ว


5. ไม่อดอาหารเช้า

เป็นความจริงที่ไม่ค่อยจะมีใครคำนึงถึงเท่าไหร่เลยว่า คนที่กินอาหารเช้าที่ถูกสุขลักษณะเป็นประจำมักจะสะโอดสะองกว่าพวกที่ไม่กิน ลองคิดแบบนอกกะลากันดูหน่อยเป็นไร ถ้าหากคุณจะกินอาหารเช้าที่เป็นสลัดผักหรือว่าข้าวซ้อมมือ อาหารแบบนี้แหละที่จะช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญได้ดีนัก ทั้งยังมีเส้นใยอาหารมากกว่าอาหารประเภทอื่นด้วย


6. กินเผ็ดเข้าไว้

คงไม่ต้องถึงกับควันออกหู แต่ถ้าคุณชอบอาหารไทยอยู่แล้วก็ย่อมถือว่าเดินมาถูกทาง แม้แต่ลีเบอร์แมนเองก็ยังพูดเลยว่า"อาหารเผ็ดๆนี่แหละ ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญดีนัก" ไม่เชื่อก็ลองสังเกตดูเถอะว่าใครบ้างในวงข้าวของคุณ ที่กินเผ็ดแล้วเหงื่อแตกพลั่กๆ นั่นแหละกระบวนการเผาผลาญของเขากำลังทำงานอย่างหนักอยู่


7. ดื่มชาเขียว

มิแชลล์ สเตรฟ ผู้ฝึกซ้อมกีฬาจากเนบราสกาให้ความเห็นว่า"มีวิธีค่อนข้างทำลายสุขภาพตั้ง หลายอย่างที่จะช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญ อย่างการดื่มกาแฟแก่ๆสักแก้ว หรือการรับนิโคตินเข้าร่างกาย แต่ดิฉันไม่ได้บอกว่าคุณต้องสูบบุหรี่นะ" แต่ลีเบอร์แมนเองก็ให้คำแนะนำที่น่าสนใจในเรื่องนี้เช่นกันว่า แทนที่จะดื่มเครื่องดื่มผสมคาเฟอีนมากๆแล้วต้องพบกับผลข้างเคียงค่อนข้าง อันตราย ก็น่าจะใช้ชาเขียวร้อนแทน ซึ่งชาเขียวที่ว่านี้จะกระตุ้นระบบเผาผลาญได้นานกว่าและมีประสิทธิภาพ มากกว่ากาแฟเสียอีก

8. อย่าลืมดื่มน้ำ

อย่าได้ละเลยการดื่มน้ำเป็นอันขาด การดื่มน้ำอยู่เป็นประจำนี้สำคัญมากกับการขับของเสียออกจากร่างกายในระหว่าง การเผาผลาญไขมัน แม้น้ำเย็นก็ยังช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญได้เล็กน้อย เนื่องจากร่างกายจะใช้ความร้อนมาเพื่อทำให้อบอุ่นขึ้น แล้วมันจะมาจากไหนล่ะถ้าไม่ใช่ระบบการเผาผลาญแล้วได้ความร้อนเป็นผลพลอยได้


9. หลีกเลี่ยงความเครียด

จงอยู่ให้ห่างความเครียดให้มากที่สุด ตามที่ลีเบอร์แมนพูดคือ"เพราะความเครียดสามารถเพิ่มน้ำหนักให้คุณได้ โดยเฉพาะไขมันตรงหน้าท้อง" ทำไมคุณลีเบอร์แมนถึงพูดเช่นนั้น ก็เพราะทั้งความเครียดทางกายและจิตใจมันจะไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารคอร์ ติโซลออกมาน่ะสิ และเพราะเจ้าคอร์ติโซลนี่มันมีอำนาจชลอกระบวนการเผาผลาญให้ช้าลงด้วย เราจึงควรทำทุกอย่างเพื่อให้ไม่เครียดหรือเครียดน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้


10. นอนหลับมาก ๆ

นักวิทยาศาสตร์ได้ทำวิจัยมาแล้วหลายครั้งในหมู่ผู้นอนหลับ พบว่าใครก็ตามที่นอนน้อยกว่าวันละเจ็ดหรือแปดชั่วโมงจะมีโอกาสน้ำหนักขึ้น ได้มาก ยิ่งกว่านั้นเราก็รู้ด้วยว่ากล้ามเนื้อจะถูกเสริมสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยในช่วง ชั่วโมงท้ายของการนอนก่อนจะตื่น ตามคำกล่าวอ้างของเบเยอร์ ถ้าจะทำตามข้อแนะนำข้อที่ 1 ไปพร้อมๆกับข้อนี้ด้วย ก็จะช่วยได้มากในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสารลอส แอนเจลิส ไทม์ส โดย ซูแซน วูดเวอร์ด
http://www.pantip.com/cafe/woman/topic/Q8592652/Q8592652.html

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ไทยจะสร้างไฟฟ้า พลังงานนิวเคลียร์ ผมหนับหนุนแต่...

http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X8588759/X8588759.html
แน่นอนว่า เราต้องหาบริษัท..ที่เชี่ยวชาญและผู้ชำนาญงานมาก่อสร้างและดำเนินงานครับ

โดย เทคโนโลยี่สมัยนี้ อุบัติเหตุเกิดยากครับ ระเบิดเชอร์นาบิลมีคนตาย(ข้อมูล จากข่าวเด่น วันนี้เอง)...มีคนตายทันที31ศพเป็นมะเร้งตายอีกไม่กี่ร้อยคน

เทียบกับการตายเกี่ยวกับอุบัติเหตุจากรถมอร์ไซร์ของไทยเราตายวันละมากกว่านีครับ ยิ่งช่วงปีใหม่/สงกรานต์ยิ่งตายมากกว่าเยอะมากๆ


ผม เห็นด้วยว่า ควรสร้าง (ที่ออกมาร้องๆ/ประท้วงกันนั้นเพราะ พวกเล่นเป่าหูกันทุกวันว่ามันอันตรายถ้ามันจริง ยุโรป/เมกามันตายไปหมดแล้วครับ)..ที่ผมบอกว่าแต่....

แต่ไทยเราทำไม่ได้ เพราะ เรามีสหภาพครับ พวกนี้ตัวถ่วง ถ้าวันดีคืนดี พ่อเล่นหยุดงานประท้วงขึ้นมา ตายครับคนไทย

พนักงานที่เข้ามาดูแลก็ไม่พ้นที่จะต้องเข้าเป้นสมาชิกสหภาพ..

นี่แหละครับ ที่ไทยยังมีไม่ได้...เพราะเรามีสหภาพที่คอยปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง...มาตลอด




ความคิดเห็นที่ 2 [ถูกใจ] [แจ้งลบ]

ผมก็หนับหนุน

แต่ต้องไม่มี "สหภาพโรงไฟฟ้านิวเคลียร์"

ไม่งั้นสหภาพบางอย่างจะกลายเป็นเรื่องขี้ๆไปเลย

ความคิดเห็นที่ 3 [ถูกใจ] [แจ้งลบ]

เทียบกับการตายเกี่ยวกับอุบัติเหตุจากรถมอร์ไซร์ของไทยเราตายวันละมากกว่านีครับ

ใช่ .... แต่ไม่มีใครอยากตายถ้าเลือกได้

ความจริง ประเทศไทย มีคนตายโดยเฉลี่ย วันละ 20,000 คน
ส่วนใหญ่นับถือศาสนา ซึ่งสอนว่า
ชีวิตเป็นไปตามกรรม ถ้าไม่ถึงที่ตายก็ไม่ตาย

อุบัตเหตเครื่องบินตก มีทุกปี ตายกันครั้งละเป็นร้อย
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ กี่ปีระเบิดสักครั้ง
ทำไมพวกต่อต้านจึงต้องกลัว กันมากมาย

คิดๆดูแล้ว พวกมันอาจไม่ได้กลัวจริง
แต่เป็นผู้ไม่หวังดีต่อชาติ ( คิดสงสัยว่า มีประเทศข้างๆ ไม่อยากให้เราได้ดี)
ค้านอย่างเดียว อะไรก็ไม่เอา
มันแปลกๆ
(คนโง่เท่านั้น ที่เป็นขนาดนั้นได้ แต่พวกมันรวมเป็นกลุ่ม ทำกิจกรรมใหญ่โต ไม่โง่แน่ๆ)

คนที่ฟังพวกนั้นแล้วกลัวตาม ควรกลับมาคิดใหม่
ตั้งสติให้ดี
ไม่งั้น คุณก็เป็นส่วนหนึ่งที่ ทำลายชาติได้

ความคิดเห็นที่ 4 [ถูกใจ] [แจ้งลบ]

การจะสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเครียร์ จะมีองค์กรระดับนานาชาติมาควบคุมตั้งแต่เริ่มดำเนินการสร้างอยู่แล้ว

และหลังจากสร้างเสร็จ องค์กรนี้จะมาคอยประเมินระดับความปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา หากไม่ผ่านก็โดนปิดทันที

เพราะเขาถือว่าเรื่องนี้มันส่งผลกระทบไปทั่วโลก ไม่ปล่อยให้สร้างมั่วๆซั่วๆหรอก

สงสัยครับหลังจาก E=MC สแควร์แล้ว ไม่มีสูตรใหม่ที่เจ๋งเป้งอีกแล้วหรอ

ผมสงสัย ไอนสไตน์ ก็คิดได้นานแล้วครับ

เราเรียนสูตรนี้มานานอย่งน้อยๆ รุ่นผม ก็จะ 10 ปีละ

ทำไมไม่มีคนคิดสูตรใหม่ที่มันเจ๋งเป้งเท่านี้ได้อีกแล้วหรอครับ

ยังงี้ การพัฒนาก็ไปได้ช้าสิ ไม่มีก้าวกระโดดของเทคโนโลยีเลย

แบบนี้ความคิดที่ว่าก่อนตายจะอยู่ระหว่งโลกเทคโนเก่า

กับใหม่ คงเป็นไปได้ยาก

ปล.สงสัยคนยิวที่ว่ากันว่าฉลาดสุดในโลกตายไปหมดแล้ว
การพัฒนาเลยเป็นไปได้ช้าหรือปล่าวครับ

http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X8521233/X8521233.html

ทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์ มีข้อบกพร่อง

ทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์ มีข้อบกพร่องอะไรครับ ที่ มาริลิน วอส บอก{แตกประเด็นจาก X8521233} vote

กระทู้นี้แตกประเด็นมาจาก X8521233

Marilyn vos Savant

IQ228
ชื่อเสียง มาริลิน ในวงการคณิตศาตร์ของเธอไม่ดีเอาเลย เป็นไม้เบื่อไม้เมา..
กับนักคณิตศาสตร์เสมอมา เธอคอยตั้งข้อสังเกตุ บทพิสูจน์ ทฤษฎีต่างๆ รวมทั้ง
ทฤษฎีบทสุดท้ายของแฟร์แมต์ และ ทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์..

จะด้วยความอิจฉาที่ คอลัมน์ "Ark Marilyn" ของเธอ มีผู้อ่านเป็นล้านทุกสัปดาห์
หนังสือที่เธอเขียนและการถูกเชิญไปบรรยายตามที่ต่างๆ ของเธอ สามารถทำให้เธอ
ใช้ชีวิตอย่างหรูหราสุขสบาย ในขณะที่นักคณิตศาสตร์หลายคนไม่ได้เงินแม้แต่
สตางค์แดงเดียวจากหนังสือพวกเค้า

เพิ่มเติมที่มา:http://www.pantown.com/board.php?id=119&area=4&name=board1&topic=569&action=view

http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X8523985/X8523985.html

ซาวัง (SAVANT) อัจฉริยะปัญญานิ่ม






ถ้าผมบอกว่าภาพที่คุณเห็นด้านบนนี้วาดโดยเด็กชายอายุ 11 ปีคุณจะเชื่อมั้ย?
ดู ผิวเผินเหมือนเป็นภาพธรรมดา แต่ลองสังเกตดีๆ เจ้าหมาน้อยทั้งสามตัวสัดส่วนถูกต้อง และสมบูรณ์มาก การใช้สีฉูดฉาด และสวยงามเกินกว่าที่เด็ก 11 ขวบโดยทั่วไปจะวาดได้


ถ้า นี่ยังไม่แปลกพอผมขอแนะนำ นายคิม พิก ผู้สามารถจดจำข้อความในหนังสือได้กว่า 12,000 เล่ม เขาจำรหัสไปรษณีย์ หมายเลขทางด่วน เส้นทาง และข้อมูลสำคัญๆในอเมริกาได้อย่างขึ้นใจ เขาสามารถอ่านหนังสือสองหน้าพร้อมกันได้ (ตาขวาหน้านึง ตาซ้ายหน้านึง) และนายคิม พิกนี่เองเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดภาพยนตร์เรื่อง Rain man เรื่องราวว่าด้วยชีวิตของนาย เรย์มอนด์ แบ็บบิต (ดัสติน ฮอฟฟ์แมน)ออทิสติกซาวังผู้มีความจำเป็นเลิศ และคำนวณได้รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

อัจฉริยะเหล่านี้คือกลุ่มอาการที่เรียกว่าซาวัง (SAVANT) ซึ่งจะมีความสามารถเฉพาะทางโดดเด่น แฝงมากับอาการผิดปกติทางสมอง หรือ โรคออทิสติก ไม่ใช่เด็กออทิสติกทุกคนที่เป็นซาวัง(ประมาณ 10% ของเด็กออทิสติกที่เป็นซาวัง เราเรียกเด็กกลุ่มนี้ว่า autistic savant) และซาวังก็ไม่จำเป็นต้องเป็นออทิสติกเสมอไป(อาจมีอาการผิดปกติอื่นๆด้านสมอง แทน) โดยมากความสามารถที่โดดเด่นของซาวังได้แก่ ทางดนตรี ศิลปะการคำนวณปฏิทิน การคิดเลขเร็วแบบฟ้าแลบ ทักษะด้านเครื่องยนต์กลไก และการจดจำรายละเอียดต่างๆ ซึ่งอาจมีความสามารถอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน (สนใจข้อมูลเชิงลึกกว่านี้หาอ่านได้ในหนังสือที่ผมจะแนะนำท้ายเรื่อง)
ซึ่ง ในบทความนี้ผมขอเล่าถึงความสามารถของซาวังแบบต่างๆให้ผู้อ่านทุกท่านได้อึ้ง ทึ่งเสียว และพิศวงกับสมองของพวกเขากัน (เป็นข้อมูลนอกเหนือจากที่ผมสามารถหาอ่านได้ในภาษาไทย )



ถ้า คิม พิกคือ Rain man สาวน้อย เฮนริเอท(ชาวฮังการี)ก็คือ rain girl เธอพูดได้ตอนอายุ 9 เดือน (โอ้!แม่เจ้า) ซึ่งพูดตามเสียงที่เธอได้ยิน ปัญหาทางด้านพฤติกรรมของเธอคือ ตั้งแต่สามขวบจนถึงหกขวบเธอทานอะไรไม่ได้เลยนอกจากพุดดิ้งและโกโก้ เธอไม่สามารถเข้าเรียนโรงเรียนปกติได้เพราะมีปัญหาด้านมนุษย์สัมพันธ์ (ไม่สบตาผู้อื่น)
เธอสามารถเล่นฟรุ๊ตได้ตอนแปดขวบ และเล่น contrabass (ไวโอลีนขนาดใหญ่ ที่ต้องยืนเล่น) ได้ตอนสิบขวบ (เธอเปิดคอนเสิร์ตของตัวเองเมื่ออายุสิบสาม) เก้าขวบสามารถแต่งบทกวีและตอนสิบขวบเธอชนะการประกวดแต่งเรื่องสั้น บทกวีของเธอได้รับการตีพิมพ์เมื่อปี 1999 และเมื่อเธออายุ 20 ปี( ค.ศ.2000) บทกวีของเธอชนะการแข่งขันด้านการประพันธ์ระดับนานาชาติ

ใน ปี 1995 เธอได้เข้าเรียนใน Geza Gardonyi Cistercitan High School และได้ค้นพบความสามารถด้านศิลปะ เมื่ออายุ 18 เธอคือนักเรียนระดับท็อปเทนของชั้นปี ผลงานศิลปะของเธอออกโชว์ตามแกลอรี่(เมื่ออายุ 16 – 18 ปี)
ที่สำคัญ ระดับ IQ ของเธอคือ 140 ( IQ คนปกติจะอยู่ที่ 90 – 110 ส่วนไอสไตน์ประมาณ 160 ขึ้นไป เธอนี่น้องๆไอสไตน์นะครับ) เรื่องราวของเธอได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2005 (Hungarian: A Szolas Szabadsaga)นับว่าเธอคือหนึ่งในอัจฉริยะที่เพียบพร้อมทางด้านศิลปะ การประพันธ์ และดนตรี คนหนึ่งของโลก














มา ต่อเรื่องสุดท้ายที่หนูน้อยโบเน่ (boone) ผู้หลงใหลการวาดและออกแบบนาฬิกา เขาสามารถใช้โปรแกรมPaint Shop Pro ได้ตั้งแต่อายุ 2 ขวบ แม่เขาบอกว่าหนูน้อยโบเน่ สามารถออกแบบและติดตั้งวอลเปเปอร์ที่หน้าเดสท็อปได้ตั้งแต่อายุ 18 เดือน (ประมาณขวบกว่าๆ ตอนนั้นเรายังหัดเดินอยู่เลยมั๊ง) นอกจากนี้ยังสามารถบอกเวลา และ ประมาณเวลาได้อย่างแม่นยำโดยไม่ต้องดูนาฬิกา (สุดยอด ) ที่สำคัญหนูน้อยคนนี้ยังเรียนรู้เลขโรมันด้วยตัวเอง โดยไม่มีใครสอนตั้งแต่อายุ 4 ขวบ (ทำได้ยังไง ?) เขายังจำ ชื่อรัฐต่างๆในสหรัฐ ชื่อเมืองหลวงของประเทศต่างๆไปจนถึงจำนวนประชากร พื้นที่สูงสุด ต่ำสุดในแต่ละประเทศ ได้ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ


และนี่คือส่วนหนึ่งของพวกเขา อัจฉริยะ ผู้เกิดมาพร้อมความบกพร่องทางสมองแต่มีพรสวรรค์พิเศษ สนใจศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ( ข้อมูลเชิงวิชาการที่อธิบายถึงสาเหตุความอัจฉริยะ และ ซาวังคนอื่นๆ ที่อึ้ง ทึ่ง เสียว ไม่แพ้ในบทความนี้) สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากหนังสือ โลกจิต (แทนไท ประเสริฐกุล) , จิตพิกล คนพิลึก (ดร.บัญชา ธนสมบัติ) ทั้งสองเล่มนี้มีขายตามร้านหนังสือทั่วไป

หรือที่ http://www.wisconsinmedicalsociety.org/savant_syndrome/savant_profiles (ข้อมูลน่าสนใจเพียบ)

http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=sa-bai-dee&date=28-04-2009&group=1&gblog=5

ทฤษฎีอารมณ์ขัน

สถานการณ์บ้านเมืองช่วงนี้กำลังตึงเครียด เลยหาอะไรเบาๆมาผ่อนคลายกัน วันนี้ผมจะมาแนะนำทฤษฎีอารมณ์กระบวยจ๊าก!!!! ไม่ใช่ ทฤษฎีอารมณ์ขัน (ไม่ฮา)ซึ่งเป็นหนึ่งในทฤษฎีทางจิตวิทยา มีอะไรบ้างไปเบิ่งกันได้เลย

1.ทฤษฎีข่มท่าน (Disparagement Theory) ทฤษฎีนี้กล่าวว่าเราจะรู้สึกขำขันเมื่อรู้สึกเหนือกว่าผู้อื่น ตัวอย่างเช่น การดูภาพล้อเลียนหน้านักการเมือง ดารา เรื่องโจ๊กนินทา เมีย , แม่ยาย,เจ้านาย หรือพวกมุขเจ็บตัวในตลกก็ใช่นะ


2.ทฤษฎีผิดฝา ผิดตัว (Incongruity Theory) เรื่องขำขันแบบผิดฝาผิดตัว คือการเอาเรื่องที่เข้ากันไม่ได้มาอยู่ด้วยกัน ทำให้เกิดการหักมุมจากความคาดหวังของเรา ก็จะเกิดเป็นอารมณ์ขันขึ้นมาได้ เช่น เราเดินใส่ชุดว่ายน้ำมาเจอเพื่อนแล้วเพื่อนถามว่าจะไปไหน เราตอบว่า “ไปขี่รถเล่น”(ไม่ฮา) แบบถ้ามันไม่เกี่ยวกันและใส่ลูกเล่นถูกจังหวะ ก็ขี้แตกขี้แตนได้


3.ทฤษฎีปลดปล่อย(Release Theory) คือการได้ปลดปล่อย ผ่อนคลาย จากกฎเกณฑ์ข้อบังคับ จากความทุกข์กังวลอันเกิดจากการสะกดกลั้นความรู้สึกทางเพศและความก้าวร้าวก ยกตัวอย่างพวกDirty Joke มุขทะลึ่งๆนี่ใช่เลย







ขอ อภัยที่หัวข้อนี้เกี่ยวกับอารมณ์ขัน แต่เจ้าของBlogดันปล่อยมุกควายๆแบบไม่ฮามาอีก (หมายถึงมุกของผมนะครับ ไม่เกี่ยวกับการ์ตูน)อย่างไรเสียก่อนจากไปแม้ไม่ฮาแต่ยิ้มซักนิดก็ดีนะจ๊ะ

ป.ล. ความรู้เรื่องทฤษฎีอารมณ์ขัน ผมนำมาจากหนังสือ คิดแก๊กให้ก๊าก ของ อาจารย์ศักดา วิมลจันทร์ (การ์ตูนิสต์) เป็นหนังสือที่ให้ความรู้ในการคิดมุกการ์ตูนแบบต่างๆ อ่านสนุกและได้สาระดี แนะนำให้อ่าน เจาะใจการ์ตูน หนังสือของผู้เขียนคนเดียวกันในชุด “เข้าใจการ์ตูน” สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก

http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=sa-bai-dee&date=13-04-2009&group=1&gblog=3

เรารู้จักกันไม่เกินหกช่วงจริงหรือ(ผมกับคุณนี่นะ?)



เคยรู้จักใครที่เค้ารู้จักกับคนที่คุณรู้จักไหมครับ? ประโยคนี้เล่นสำนวนให้งงกันไปอย่างนั้นเองครับ ถ้าจะอธิบายให้ง่ายๆ ก็เช่น มาร์ค รู้จักกับ แม้ว ซึ่งแม้วดันเป็นเพื่อนสมัยประถมของเหลิม และเหลิมก็คือเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยของมาร์คนั่นเอง ถ้าคุณเคยเจอปรากฏการณ์นี้ก็เข้าทางการทดลองของ สแตนลีย์ มิลแกรม นักจิตวิทยาสังคมของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดผู้ทดลองพิสูจน์ปรากฏการณ์ “Six Degree of Separation”



Six Degree of Separation เรียกสั้นๆง่ายๆว่า “อยู่ห่างแค่ไหนก็ไม่ไกลเกินหกช่วง” เป็นปรากฏการณ์ที่ว่าถ้าสุ่มสองคนใดๆในโลกออกมา จะมีคนอื่นที่รู้จักสองคนนี้เชื่อมโยงกันเป็นทอดๆระหว่างพวกเขาไม่เกิน 6 ช่วงโดย สแตนลีย์ มิลแกรม ทดลองสุ่มชื่อคนในมลรัฐแคนซัสและเนบราสกา ประมาณ 300 คนและขอให้คนกลุ่มนี้ส่งต่อเอกสารไปยังเป้าหมาย ที่อยู่ใน บอสตัน มลรัฐเมสซาซูเซตส์ ซึ่งในการส่งนั้น “ผู้เริ่มส่ง” จะส่งเอกสารผ่านไปยังคนกลางที่เขารู้จักและคิดว่าน่าจะส่งเอกสารไปยังเป้า หมาย(ที่เขาไม่รู้จัก)ได้ใกล้เคียงกว่า ซึ่งผลการทดลองปรากฏว่า จำนวนคนกลางในการส่งเอกสารต่อเป็นทอดๆ จนเสร็จสิ้นภารกิจมีค่าเฉลี่ยประมาณ 6 คนเท่านั้น




เอาล่ะทีนี้ผมจะทดลองบ้าง โดยผมเลือกเชื่อมโยงตัวเองกับบารัค โอบามาประธานาธิบดี ผิวสีคนแรกของสหรัฐอเมริกา ผลที่ได้เป็นดังนี้

ผม – ดาราท่านหนึ่ง(ไม่ขอเอ่ยนาม) – นักการเมืองท่านหนึ่ง – คุณทักษิณ(ใช่ครับ คนนั้นแหละ) – จอร์จบุช(จูเนียร์) และจอร์จ บุช(จูเนียร์)นี่แหละที่รู้จักกับโอบามา Bingo !!! นับไปนับมา 6 ช่วงพอดี ไม่น่าเชื่อ เรื่องของผมยังไม่จบเท่านี้ ยังมีอีกกรณีที่น่าสนใจคือ พี่ทม พี่ชายคนสนิทของผมในที่ทำงาน กว่า 5 ปีที่รู้จักกัน ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าแกรู้จักกับคนในครอบครัวของผม จนวันที่พ่อเสียชีวิต แกมางานศพและได้เจอกับน้าผมปรากฏว่า ทั้งสองคนเป็นเพื่อนบ้านกันสมัยที่น้าผมอยู่จังหวัดแพร่ ยังมีการโยงกันของคนที่ผมรู้จักอีกหลายคนที่เป็นไปตามปรากฏการณ์นี้(แต่ไม่ ขอเล่านะครับเรื่องมันยาว)



ใช่ว่าจะมีแต่คนเชื่อการทดลองนี้นะครับ คนที่เห็นแย้งก็มี เช่น นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยอะแลสก้าในแฟร์แบงก์ ชื่อ จูดิท ไคล์นเฟลด์ เขาได้ลองสืบค้นงานวิจัยของมิลแกรมแล้วพบหลักฐานบางอย่างที่ทำให้ข้องใจ เช่น จากจำนวนจดหมายที่ส่งไป 300 ฉบับ มีจดหมายที่ส่งถึงเป้าหมายเพียง 29 % และค่าเฉลี่ยที่เท่ากับ 6 นี้ก็คิดมาจากจดหมายที่ส่งไปถึงเป้าหมายเท่านั้น จากข้อมูลนี้ทำให้ไม่สามารถที่จะสรุป ยืนยัน หรือฟันธงปรากฏการณ์นี้ได้ว่าเป็นจริงหรือไม่? คงขึ้นอยู่กับวิจารณญาณและประสบการณ์ส่วนตัวของแต่ละคนมากกว่า เขียนไปเขียนมาเลยสงสัยว่าเพื่อนๆที่แวะมาอ่านBlogนี้ จะมีใครเชื่อมโยงคนรู้จักเป็นช่วงแบบน่าสนใจบ้างลองเล่าผ่านcomment ไว้หน่อยนะครับ อยากรู้เป็นกรณีศึกษา หรือจะลองโยงความสัมพันธ์กับคนที่คุณคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับคุณดูก็ได้ เผื่อจะตรงกับ Six Degree of Separationบ้าง



หมายเหตุ- ถ้าสนใจข้อมูลที่มากกว่านี้แนะนำให้อ่าน “กฎพิสดาร ปรากฏการณ์พิศวง” ของ ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ (สำนักพิมพ์สารคดี)ดูครับมีเรื่องและข้อมูลที่น่าสนใจมากมาย

http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=sa-bai-dee&date=23-04-2009&group=1&gblog=4

จิตคนนั้นไซร้ ยากแท้หยั่งถึง




ได้มีโอกาสชมรายการ The people watchers ซึ่งเป็นรายการที่ศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ โดยรายการจะส่งหน้าม้ามากประสบการณ์มาสร้างสถานการณ์จำลองและสรุปผลตามทฤษฎี จิตวิทยา มีหลายประเด็นในรายการที่น่าสนใจเลยนำมาแบ่งปันให้เพื่อนๆได้อ่านกันในBlog




ประเด็นแรกรายการ(และพวกเราทุกคน)อยากรู้ว่าโฆษณาที่เราเห็นแค่แว๊บเดียว จะมีผลต่อการตัดสินใจของเราหรือไม่ ? จึงให้หน้าม้าถือป้ายโฆษณาลูกอมช็อคโกแลตยืนทางซ้ายและขวาของประตูทางเข้า ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่สำคัญคือฝั่งซ้ายและขวาไม่ได้โฆษณายี่ห้อเดียวกัน ถ้าคุณเดินมาจากด้านซ้ายของประตูจะเจอโฆษณายี่ห้อสีเหลือง แต่ถ้าเดินมาจากด้านขวาจะเจอโฆษณายี่ห้อสีน้ำเงิน เมื่อจ่ายเงินซื้อสินค้าพนักงานที่แคชเชียร์จะแนะนำโปรโมชั่นวันนี้ ว่าคุณมีสิทธิ์รับช็อคโกแลตฟรีหนึ่งชิ้น ปรากฏว่าส่วนใหญ่เลือกยี่ห้อที่เพิ่งเห็นโฆษณามาครับ โอ้!!!นี่แหละครับผลของการโฆษณา แม้เรามองผ่านๆ แม้เราไม่สนใจแต่การได้เห็น(ย้ำว่าแค่เห็น)เราก็เก็บลักษณะของสินค้านั้น เข้าไว้ในจิตใต้สำนึกแล้ว เมื่อถึงภาวะที่คุณจะต้องเลือกคุณก็จะเลือกสิ่งที่คุ้นชินซึ่งก็คืออะไรที่ ถูกเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก ขนาดเห็นแค่ช่วงสั้นๆตอนเดินเข้าร้านยังมีผลขนาดนี้ แล้วโฆษณาทางทีวีที่เราดูกันอยู่ทุกวัน มันไม่ฝังไปในจิตใต้สำนึกของเราหมดแล้วเหรอ.....





ช่วงต่อมาเป็นการสร้างสถานการณ์ให้เราเห็นการขโมยของ ในออฟฟิคแห่งหนึ่งซึ่งมีผู้เข้าร่วมสัมภาษณ์งาน 3 คน (สถานการณ์นี้ชาย 1 คนหญิง2 คน ) โดยชายหน้าม้าของเราจะทำตัวเป็นหัวขโมย ขโมยเงินจากเคาน์เตอร์แล้วแกล้งทำให้สุภาพสตรีทั้งสองคนเห็นก่อนที่จะเดิน เข้าไปสัมภาษณ์งานหน้าตาเฉย ผลปรากฏว่าสองคนที่เหลือไม่ปริปากพูดอะไรออกมาเลย ไม่ถามกันซักนิด เธอเห็นอะไรมั้ย? เขาขโมยเงินรึเปล่า? แต่เลือกที่จะเงียบทั้งคู่ สงสัยรึเปล่าครับว่าเพราะอะไร? คำตอบคือเพราะทั้งสองคนอยู่ในสถานการณ์ที่ทางจิตวิทยาเรียกว่า “ภาวะแบ่งกันรับผิดชอบ” คือทั้งสองจะพยายามผลักภาระการบอกตัวคนร้ายให้อีกฝ่ายแทน ผลสุดท้ายแต่ละคนจะนั่งเงียบไม่พูดอะไร ดังนั้นถ้าคุณต้องไปเจอสถานการณ์แบบนี้ผมแนะนำครับแจ้งเจ้าหน้าที่สถานเดียว เพราะถ้าคุณหวังให้อีกฝ่ายเป็นผู้แจ้ง..... เค้าก็คิดเหมือนคุณนั่นแหละ





เรื่องสุดท้ายน่าสนใจครับ ทางรายการให้อาสาสมัคร 3 คนเขียนสุ่มผลลัพธ์การโยนเหรียญ 50 ครั้ง และให้โยนจริง 50 ครั้ง โดยทางรายการจะให้ซาร่า(เข้าใจว่าไม่ใช่ซ่าร่าคู่หูนายจอร์จในทีวีไดเร็ค) ลองทายดูว่าอันไหนเขียนสุ่มโดยอาสาสมัคร อันไหนคือผลการโยนเหรียญจริง ปรากฏว่าคุณซาร่าทายถูกทั้ง 3 คน เธออธิบายว่า ที่สามารถทายถูกเพราะใช้ทฤษฎีเกี่ยวกับสมองมาช่วย สมองของมนุษย์ไม่ได้ถูกโปรแกรมมาให้คิดในเชิงสุ่ม แม้ทุกคนจะพยายามสุ่มแล้วก็ตามแต่มักจะไม่เขียนผลลัพธ์อันเดียวกันติดกัน เกินกว่า 5 ครั้งเพราะเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ซึ่งในความจริง โอกาสที่จะเกิดผลลัพธ์เดียวกัน 5 ครั้งมีโอกาสเกิดขึ้นได้ ซาร่าเลยสังเกตว่าถ้าในตารางแสดงผลลัพธ์ออกหน้าเดียวกันติด 5 ครั้ง น่าจะเป็นการทดลองที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งในการโยนเหรียญจริงอาสาสมัครทั้งสามคนก็โยนเหรียญออกหน้าเดียวติดกัน อยู่หลายครั้ง(และมีเกิน 5 ครั้งด้วย) แหม!!!ช่างเข้าใจทดลองกันเสียจริงเลยเป็นการทดลองที่ทำให้ผมได้ความรู้ใหม่ๆ และต้องทึ่งในความมหัศจรรย์ของจิตจริงๆครับ วันหลังต้องแอบเอาไปแกล้งคนเล่นซะแล้ว อิอิ



แม้จิตใจมนุษย์จะยากแท้หยั่งถึงเพียงใด ตราบเท่าที่เรายังไม่เข้าใจกระบวนการทำงานของจิตเราก็ยังคงต้องศึกษากันต่อไป
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=sa-bai-dee&date=09-04-2009&group=1&gblog=2

โลกร้อน ตอน ความลับแตก

วันที่ 18 พ.ย. 2552 สถาบัน Hadley Climatic Research Center แห่งมหาวิทยาลัย East Anglia ซึ่งเทียบได้กับนครวาติกันของลัทธิ “มนุษย์ทำให้โลกร้อน” ถูกแฮคเกอร์ขโมยข้อมูลเป็น email ส่วนตัวของนักวิทยาศาสตร์มากกว่าพันฉบับและเอกสารมากกว่าสามพันรายการ ข้อมูลที่ถูกขโมยถูกนำไปลงไว้ที่บล็อคชื่อ The Air Vent ในรัสเซีย ที่ยอมเปิดให้ผู้ใช้จัดทำบล๊อคโดยไม่ต้องแสดงตน จากนั้นก็มีผู้อ่านที่ใช้ชื่อ Steven Mosher ดาวน์โหลดส่งต่อให้กับเวบ Climate Audit ของ Steven McIntyre นักวิทยาศาสตร์ฝ่ายค้านระดับแนวหน้า และล่าสุดก็ไปปรากฏที่เวบ What’s up with that ของ Anthony Watts เวบบอร์ดของฝ่ายค้านที่มีผู้เข้าชมมากกว่าเจ็ดหมื่นครั้งต่อวัน

มหาวิทยาลัย East Anglia ยอมรับว่ามีข้อมูลถกขโมยไปจริง ข้อมูลที่ถูกขโมยก่อให้เกิดประเด็นร้อนสุดขีดในวงการโลกร้อน เพราะในอีเมล์หลายฉบับมีข้อความอันน่าละอาย ที่บอกให้รู้ว่านักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ ทำการ “ตุกติก” กับผลการวิจัยเพื่อทำให้สภาวะโลกร้อนดูรุนแรงกว่าที่เป็นจริง รวมทั้งมีความพยายามจะซ่อนข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์หลายอย่าง

ตัวอย่าง ข้อความอันน่าละอายในเมล์ที่ถูกยกขึ้นมาประจานกันอย่างกว้างขวางคือข้อความ ของ Philip Jones ซึ่งเป็นผู้อำนวยการของสถาบัน Hadley เอง ที่ส่งถึง Michael Mann หนึ่งในคณะผู้บริหารสูงสุดของ IPCC เจ้าของกราฟ Hockey Stick ที่ลือลั่น มีข้อความว่าเขาได้ทำการตุกติกกับผลการวิจัยฉบับหนึ่ง เพื่อที่จะซ่อนการลดลง(ของอุณหภูมิ)

I've just completed Mike's Nature trick of adding in the real temps to each series for the last 20 years (ie from 1981 onwards) amd from 1961 for Keith's to hide the decline. Mike's series got the annual land and marine values while the other two got April-Sept for NH land N of 20N. The latter two are real for 1999, while the estimate for 1999 for NH combined is +0.44C wrt 61-90. The Global estimate for 1999 with data through Oct is +0.35C cf. 0.57 for 1998.

ข่าวกล่าวว่าไม่เพียงแต่เมล์เท่านั้นที่มีข้อมูลที่ น่าอับอาย เอกสารบางฉบับ เช่นที่ชื่อว่า The Rules of the Game ก็มีเนื้อหาที่น่าอับอายเช่นกัน

นักวิจารณ์คาดว่านักวิทยาศาสตร์ กลุ่มนี้จะต้องถูกรุมยำอย่างแน่นอน บางคนวิจารณ์เหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นเรื่องอื้อฉาวที่สุดของวงการวิทยาสตร์ ในยุคนี้ อย่างไรก็ตามบางคนมีความเห็นว่าความเชื่อว่า มนุษย์เป็นสาเหตุที่ทำให้โลกร้อน ได้แพร่ระบาดไปไกลมากเกินกว่าที่ข่าวการตุกติกที่อื้อฉาวนี้จะสั่นคลอนความ เชื่อของคนส่วนใหญ่ในโลกได้ แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้เกิดคำถามมากมายในวงการ วิทยาศาสตร์ถึงความน่าเชื่อถือของทฤษฎีนี้

ล่าสุด Michael Mann ออกมาอธิบายว่าคำว่า trick ในที่นี้หมายถึง a good way to solve problem ส่วน Dr. Jones ผู้อำนวยการสถาบันฯ ผู้เขียนข้อความดังกล่าว ยังหลบนักข่าวอยู่

เวบบอร์ด What’s Up With That กำลังจับประเด็นนำเสนอเรื่องราวอย่างต่อเนื่อง ติดตามได้ที่
http://wattsupwiththat.com/

ตัวอย่างเมล์ที่มีเนื้อหาน่าอับอาย ถูกคัดเลือกนำมาทำ link ไว้ในบล๊อคของ Bishop Hill
http://wattsupwiththat.com/2009/11/22/bishop-hills-compendium-of-cru-email-issues/

ตัวอย่างข่าวในต่างประเทศที่กำลังประโคมเรื่องนี้

Hadley CRU hacked with release of hundreds of docs and emails
http://www.examiner.com/x-28973-Essex-County-Conservative-Examiner~y2009m11d19-Hadley-CRU-hacked-with-release-of-hundreds-of-docs-and-emails

Climategate: the final nail in the coffin of 'Anthropogenic Global Warming'? http://blogs.telegraph.co.uk/news/jamesdelingpole/100017393/climategate-the-final-nail-in-the-coffin-of-anthropogenic-global-warming/

Hackers steal electronic data from top climate research center
http://www.washingtonpost.com/wp-dyn/content/article/2009/11/20/AR2009112004093.html?hpid=sec-nation

Hacked E-Mail Is New Fodder for Climate Dispute
http://www.nytimes.com/2009/11/21/science/earth/21climate.html?_r=1

E-mail leak turns up heat on global warming advocates
http://www.bostonherald.com/business/general/view.bg?articleid=1213483&srvc=business&position=recent

P.S. Thanks to Khun mun

กราฟ HadCRUT3 แสดงอุณหภูมิที่อุ่นขึ้นผิดปกติ (เฉลี่ยรายปี)

http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X8581568/X8581568.html

กระทู้เก่า

สหรัฐไม่ลงนามในสัญญาเกียวโตเพราะทฤษฎีเรือนกระจกเป็นเรื่องเหลวไหล
http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/X3721530/X3721530.html

โลกร้อน..เรื่องเล็ก
http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2007/03/X5215913/X5215913.html

ท่านคิดว่าโลกร้อนขึ้น เกิดจากสาเหตุอะไร
http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2007/03/X5277664/X5277664.html

โลกร้อน ตอนเจาะลึก Greenhouse Effect
http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/02/X6327353/X6327353.html

โลกร้อน ตอน Gameover
http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/02/X6373013/X6373013.html

โลกร้อน ตอน No Food For Oil
http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/04/X6519835/X6519835.html

โลกร้อน - ตอน The Day After Tomorrow
http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/05/X6576611/X6576611.html

โลกร้อน ตอน Global Cooling
http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/01/X7413397/X7413397.html

โลกร้อน ตอน ร้อนไม่จริง (ขอแนะนำให้อ่านเพราะมีส่วนเกี่ยวข้อง)
http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/06/X7991325/X7991325.html




โลกร้อน ตอนเจาะลึก Greenhouse Effect

ทฤษฎีมนุษย์ทำให้โลกร้อน - Anthropogenic Global warming (AGW)
มีข้อบกพร่องหลายอย่างที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์บางส่วนไม่เชื่อถือ
หนึ่งในข้อบกพร่องนั้น คือขีดจำกัดของการเกิดปรากฎการณ์เรือนกระจก

ปรากฏการณ์เรือนกระจก Greenhouse Effect
คือปรากฏการณ์ที่กาซดูดซับพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า electromagnetic
เปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน และทำให้มวลของอากาศทั้งหมดอุ่นขึ้น
จริงๆแล้วกาซส่วนใหญ่ สามารถดูดซับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้
แต่ทว่ากาซจะดูดซับคลื่นพลังงานในย่านความถี่จำเพาะของตนเท่านั้น ซึ่งอาจจะมีได้หลายช่วง
และไม่จำเป็นต้องเป็นคลื่นในย่าน infrared เสมอไป (ช่วยบอกต่อๆด้วย)
ตัวอย่างเช่น Ozone จะดูดซับคลื่นได้ดีในย่านของ UV เป็นต้น

การที่กาซดูดซับคลื่นพลังงานได้เฉพาะ ในย่านความยาวคลื่นเฉพาะตัว
คือข้อจำกัดของความสามารถที่จะก่อให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกในบรรยากาศ
คือถ้าในธรรมชาติ ไม่มีคลื่นพลังงานในย่านนั้น หรือคลื่นในย่านนั้นถูกดูดซับจนหมด
การเพิ่มปริมาณกาซ ก็ไม่สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกเพิ่มขึ้นได้

เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ขอให้ลองพิจารณาจากปรากฏการณ์ที่เกิดจริงในธรรมชาติ
กราฟต่อไปนี้แสดงสัดส่วนความเข้มข้นของพลังงานดวงอาทิตย์ในความยาวคลื่นต่างๆ
ปริมาณแสงที่ตกกระทบชั้นบนสุดของบรรยากาศ แสดงด้วยพื้นที่สีเหลือง
ส่วนพลังงานตกกระทบผิวโลกแสดงด้วยกราฟสีส้ม

http://en.wikipedia.org/wiki/Image:Solar_Spectrum.png

แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 51 19:40:24


http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/02/X6327353/X6327353.html

ท่านคิดว่าโลกร้อนขึ้น เกิดจากสาเหตุอะไร

โลกร้อนขึ้น ไม่มีใครเถียง.. ที่เถียงกันคือโลกร้อนขึ้นเพราะสาเหตุใด

กลุ่ม IPCC และนักอนุรักษ์ธรรมชาติเชื่อว่าโลกร้อนขึ้นจากการกระทำของมนุษย์ (AGW)
เพราะมนุษย์ไปทำให้พลังปรากฏการณ์เรือนกระจกในชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะจากกาซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ได้จากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล

ส่วนนักวิทยาศาสตร์อีกส่วน คัดค้านค้านทฤษฎีโลกร้อนเพราะมนุษย์
กลุ่มฝ่ายค้านยึดถือตามความเชื่อเดิมว่า ภูมิอากาศโลกไม่คงที่ มีช่วงเวลาที่ร้อนสลับกับหนาวขึ้นๆลงๆ
เป็นวัฏจักรธรรมชาติ ที่มีคาบยาวหลายร้อยปี โดยสาเหตุใหญ่คือความผันแปรของพลังงานจากดวงอาทิตย์

เรื่องราวของทฤษฎีโลกร้อนเพราะการกระทำของมนุษย์มีการประชาสัมพันธ์แพร่หลายมาก
ที่กำลังเป็นที่สนใจของสังคมในเวลานี้ก็คือภาพยนต์ An Inconvenient Truth ของ Al Gore

ส่วนเหตุผลที่คัดค้านทฤษฎีโลกร้อนเพราะมนุษย์นั้น ค่อนข้างจะรู้กันเฉพาะในวงวิชาการจริงๆ
เพราะไม่ค่อยมีใครช่วยประชาสัมพันธ์ให้ หรือมีน้อยไม่เพียงพอที่จะถ่วงดุลกับฝ่ายโลกร้อน

ผมได้ตั้งกระทู้แสดงเหตุผลของฝ่ายที่คัดค้านทฤษฎีโลกร้อนเพราะมนุษย์ไว้สองกระทู้

โลกร้อน.. เรื่องเล็ก
http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X5215913/X5215913.html

ประธานาธิบดีสหรัฐไม่ลงนามในสัญญาเกียวโตเพราะทฤษฎีปรากฏการณ์เรือนกระจกเป็นเรื่องเหลวไหล
http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/X3721530/X3721530.html

+++++++++++++++

ในตอนนี้ผมอยากจะขอทราบความเห็นของเพื่อนๆครับ
แต่ก่อนที่จะโหวตลงคะแนน อยากจะขอให้อ่านกระทู้ทั้งสองก่อน

ผมมีข้อให้เลือก 3 ข้อ คือ ท่านเชื่อแนวความคิดของฝ่ายไหน

1. วัฏจักรธรรมชาติเป็นสาเหตุใหญ่ - กาซเรือนกระจกเป็นสาเหตุรอง
2. กาซเรือนกระจกเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ - วัฏจักรธรรมชาติเป็นสาเหตุรอง
3. ไม่แน่ใจ ยังไม่ปักใจเชื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2007/03/X5277664/X5277664.html

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

How to Fight Fair So That Everyone Wins

How to Fight Fair So That Everyone Wins

Anyone can become angry. That is easy. But to be angry with the right person, to the right degree, at the right time, for the right purpose, and in the right way--that is not easy.

- Aristotle

Rules for Fair Fighting

  1. The goal of any fight should be to resolve a conflict rather than to win or "come out on top". If one person feels like a loser that will create resentment and distance. Rather everybody should feel like they've won.
  2. Express your resentments as soon as you are aware of them rather than letting them build up into an explosion.
  3. Nothing is more important in conflict resolution than the ability to compromise. Are you really standing on principle or are you just being stubborn?
  4. Communication should be as clear, direct and as open as possible. Make sure you aren't expecting people to read your mind.
  5. Be sure to ask for feedback and reflect on what you think the other person is saying. Often people will be fighting about different issues without being aware of it.
  6. Argue only one point at a time. Resist temptations to get off the subject. Even issues that seem related can be distracting.
  7. Don't "hit below the belt", that is don't hurt or overwhelm your partner beyond his or her ability to take it.
  8. Make sure you're fighting about what you really want to fight about. You may be discussing "you're home late" when you're feeling "you don't love me anymore".
  9. Are you overreacting and making a big deal about a trivial issue? If you do this frequently it might mean that there is a more important issue that is not being talked about.
  10. Avoid ganging up. Fights are best fought between two people at a time.
  11. Don't get in the middle of a fight you don't belong in.
  12. A sense of humor is important. Don't let your fights be any more deadly than necessary. On the other hand, don't make light of a subject that should be taken seriously, or use jokes to put your partner down.
  13. Never fight after drinking.
  14. Never ridicule or make light of your partner's feelings. Instead, respond as much as possible with "I feel..." or "I want..." statements of your own.
  15. Be sure to admit when you are in the wrong. Sometimes an apology is all that is necessary to end an argument.
  16. If one person is tired, preoccupied with another subject or not ready to fight, it may be best to put off the fight until a more opportune time. But make sure the postponement is not indefinite. Agree on a specific day and time. A couple of days or less may be a maximum if that issue is really important.
  17. Everyone fights dirty or says things that they don't mean at least occasionally. Learn to forgive, forget and start over.

A Sample of Nonproductive and Destructive Fights.

  1. Gunnysacking. Holding resentments until they explode and you fight about everything that has gone wrong in the past six months.
  2. Sniping and nagging. Anger comes out in dribs and drabs instead of facing reasons for anger squarely.
  3. Kitchen sink fights. The fighters bring up any issue they can think of just so they can "score points".
  4. World War III. Expressing more anger than you really feel just so you can intimidate the other person.
  5. Scapegoating. Fighting about an issue as a way of avoiding a more painful issue. Example: fighting about the kids to avoid discussing sex.
  6. Pseudoaccommodation. Giving up before the issues are resolved just to keep the peace.
  7. Round Robin. Continuing to argue about the same issues even though nothing has changed and you know the results are going to be the same.
  8. Duologues. Everybody talks and nobody listens. Opposite of dialogue where there is true communica-tion.
  9. Sneak attack. Jumping on your partner without giving him or her a chance to defend him/herself.
  10. Hitting below the belt. Hurting or overwhelming your partner beyond his/her ability to take it.
  11. Gotcha' fights. Creating a phony issue to give you a chance to express anger.
  12. Doublebind. Damned if you do and damned if you don't.
  13. Tit-for-Tat. Your partner does or says something unfair during a fight so you respond by fighting just as dirty (or even dirtier).

A Guide to Fighting Skills.

Constructive (closeness producing) messages.
  1. "I want" statements.
  2. "I feel" statements
  3. "I like/don't like" statements.
  4. Giving feedback.
  5. Asking for feedback.
  6. Agreeing with criticism or part of a criticism.
  7. Asking for more specific criticism.
  8. Bargaining and compromising.
  9. Expressing ambivalence.
  10. Praise.
  11. Nonverbal supportive messages.

Destructive (distance producing) messages.
  1. Communication cutoff.
  2. Overlong statements.
  3. Put downs.
  4. You should/shouldn't statements.
  5. Unfair comparisons.
  6. Reacting defensively.
  7. Sarcasm.
  8. Commanding.
  9. Threatening.
  10. Unnecessary apologizing or self-effacing.
  11. Unclear, overly general and nonspecific statements.
  12. Double messages.
  13. Ignoring important messages or feelings of the other person.
  14. Unnecessary interruptions.
  15. Giving in.
An Outline of Problem Solving
  1. Define the Problem
    • Make sure the problem is clear, concise and specific. Can it be defined in terms of specific behaviors?
    • Does everyone agree what the nature of the problem is?
  2. Express facts and feelings regarding the problem.
    • Make sure that everyone has an equal chance to speak.
    • All feelings are appropriate if expressed constructively (see "Rules for Fair Fighting").
  3. List possible solutions.
    • Be as creative as possible in coming up with possibilities.
    • All solutions should be considered even if they sound silly.
    • Everyone should have an equal opportunity to contribute.
  4. Evaluate each proposed solution individually.
    • Can the solution be realistically implemented?
    • Will it solve the problem that has been defined in step #1?
    • Will it be fair to everyone concerned?
    • Will implementing the solution create new problems?
  5. Decide on a mutually acceptable solution.
  6. Make specific plans to implement the solution. Decide WHO, WHEN, HOW, WHERE.
  7. Evaluate the solution. Is everyone satisfied with the outcome?
  8. If the problem remains unsolved, decide on the reason.
    • Perhaps you were trying to solve the wrong problem. (Example: you were trying to establish a fair distribution of household chores when the real problem was feelings about being treated unfairly in other areas of family life.) If so, go back to step #1 and start over.
    • Perhaps a different solution would have worked better. If so, go back to step #2 or step #3 and start from there.
    • Perhaps the solution was inadequately implemented. If so, go back to step #6.
http://www.upenn.edu/fsap/conflict.htm

Last Night I Cried

I wasn’t going to write this even though that phrase kept echoing in my head. My reasons against it were: a-I couldn’t figure out how to tie it into writing for redeeming value and b-as much as I appreciate others sharing vulnerability, I’m not very good at it myself.

My sister, four years my senior, once told me that it scared her to see me cry because I didn’t do it often, thus leading her to conclude my tears meant something was seriously wrong. I am a very emotional woman but I am also highly intellectual and the two characteristics tend to form a balance of strategy and control. The times I shed tears are usually when my mind searches long and hard but can’t seem to find any answers, finally yielding to the heart.

Last night I cried and the mind released the flood gates giving way to a heart that has been storing an emotional well. I have reached the height of acceptance and have stood perched on the landing that I now recognize as numbness. Last night my knees buckled, my legs gave way and I fell into an ocean of tears that felt like a baptismal cleansing of the soul. It washed away invincibility and clothed me in the painful realization that I am human.

Last night I cried, not because anything was seriously wrong but because I had to yield. Unable to get to sleep as my mind continued on its search for answers, I somehow ended up on the Christian evangelist channel. I heard the phrase “peace of mind is rest” and the tears came gushing down. I cried because I have not rested in a long time and couldn’t figure out how to obtain peace of mind. I had to admit that I do not control my world and, despite my best efforts, lack the ability to direct this massive production.

Since deciding to truly follow my calling, I have been diligent in taking practical steps. I write regularly, network socially and follow literary trends. I thought this was what I needed to do because it made sense. I was not prepared for the internal obstacles, the relationships resistant to change, the wait for it to finally “happen” for me.

Last night I cried because I realized it is happening, even if it is not in the form I anticipated. I wiped the tears, blew my nose and then I prayed. Today I checked Twitter and an online friend told me the universe had a message for me, “don’t think so much”. I realized I cried to remind myself to feel and let go. Still filled with challenges, today was a better day but tomorrow I may cry again.

http://ggspiritwrites.blogspot.com/2009/08/last-night-i-cried.html

Fight for your right to sleep

I have an important and radical proposal for you all, so listen up.

This semester has generally been difficult for me so far because I have two classes which start before 10 a.m. And between my various responsibilities, I am in bed between midnight and 1:00 a.m. This just can’t go on. I need my sleep and I need my education, but without my nightly trip to the land of “Nod” it becomes difficult to function and therefore my education suffers.

Therefore, I will make known in this column the following: Sleep is a fundamental natural right and it is inhuman, cruel and unusual to penalize someone for getting up before 10 a.m.

How do I justify this assertion?

Simple. A natural right is a right which we have by virtue of being human. For example, freedom of speech is a natural right because our ability to speak and think does not depend upon some artificial means. The right to own property is natural because it is, according to John Locke, the application of natural mental or physical labor to that which already exists in nature. For most people, sleep comes naturally and does not need to be induced artificially. In fact, the inability to go to sleep can be a serious medical issue.

Since a large part of our mental and physical well-being depends on sleep and the exercise of other rights is often dependent upon mental and physical health, it stands to reason that sleep is one of the most fundamental rights, along with the right to life.

In the past 24 hours, most of my inhibitions have broken down and my mental health has deteriorated. I have recited Shakespearean soliloquies on the toilet, moon-walked through the library, and pondered how much travel time could be saved by using momentum and throwing myself down a flight of stairs. Yes, the magical world of sleep deprivation. More hardcore insomniacs experience wild hallucinations, such as being helicopters, or have visions of Mr. T.

According to the National Sleep Foundation, lack of sleep results in an increase in the risk of car accidents, an increase in obesity, a greater chance for diabetes and a shortened attention span. These effects have a huge bearing on our lives. Totalitarian governments, such as the Soviet Union, and not-so-totalitarian governments, such as the United Kingdom, have used sleep deprivation as a torture technique. Torture, everyone will agree, is an extreme violation of human rights and dignity – and since sleep deprivation is a technique used in “enhanced interrogations” around the world, it follows that sleep is most definitely a right.

Here on this campus, students are sleep deprived as a matter of course. Exams at 6:00 a.m., 7:00 a.m. or 8:00 a.m. – before anything opens to even admit the possibility of coffee – can be preceded by studying deep into the night, so that when the time comes for exams, they might have well spent the past 24 hours with the KGB.

It is not unreasonable to expect a student to be up and at ‘em at 9 a.m. But between work, class assignments and life in general, an early start gets to be too much. Benjamin Franklin said that “Early to bed, early to rise, makes a man healthy, wealthy, and wise.” But in the modern world, it is simply too difficult to go to bed early. Experts agree that more sleep benefits students and makes their lives better.

Some people try to combat their lack of sleep with energy drinks, like Red Bull, Rock Star or Monster. But those drinks often have a distinctly negative effect on health, containing 280mg of caffeine in an 8.5 ounce serving. Coffee, by contrast, contains 100mg per six ounces. The high sugar content in combination with the caffeine can lead to insomnia, an arrhythmic heart beat, and anxiety attacks.

Nothing can replace sleep. Not even Adderall.

We must all pull together and fight for our right to a good night’s sleep. I encourage everyone to agitate on behalf of more sleep. Hold a sleep-in during the next early morning lecture you go to, or sleep out on the Campus Center lawn now and again. Sleep is precious; too precious to be withheld from those of us who need it most. As my final thought in this column, let me just say that it is vastly important to remember “Zzzz…”.

Matthew M. Robare is a Collegian columnist. He can be reached at mrobare@student.umass.edu.

http://massdailycollegian.com/2009/10/07/2-fight-for-your-right-to-sleep/

Five Questions with Nancy Kim Parsons

(View Biography)

Our series kicks into high gear with documentary producer and actor Nancy Kim Parsons. Nancy joined her family through international adoption from Korea when she was almost 8 months old. She was blessed with a loving and supportive family, but growing up Asian in Minneapolis, Minnesota was not without its challenges.

I would like to thank you all for your questions. I was overwhelmed with the number of questions and hope to answer more in a follow-up down the road. Before I answer your questions, I want to give you some background and an idea of the lens through which I view the world.

First of all, I was blessed with a wonderful family and over the past 10 months I’ve had the opportunity to reflect on my childhood and personal experience as a result of research for the documentary I’m working on now, so I have talked to hundreds of people in trans-racial adoptive families. Second, I am not an adoption professional, but am a person of adoption- living it, every day. These two things make my world view uniquely my own, but I hope that my perspective can empower all parents and children.

Thank you for your time — Nancy Kim Parsons


1. In what way, if any, did your adoptive parents foster you culturally? Did they share any info with you, were you on your own, was your Asian culture even acknowledged? Do you feel that traveling back to an internationally adopted child's birth-country is valuable in helping develop his or her self-identity?

My parents did try to foster me culturally by sending me to Korean camp, but I hated it!

Truthfully, I wanted nothing to do with any person or child that looked like me or anything having to do with being different. My adoption and Korean heritage were acknowledged in a balanced way without over emphasizing that I was different. As an adult, I am grateful that my parents recognized and honored my Korean culture, but as a child, I was very aware I was different-even when I couldn’t articulate it or my parents acknowledged it—and I wanted desperately to fit in.

Trans-racial adoption is tricky and, for me, issues around racism and racial identity were as important as the issue of family formation. I am a person of color-my parents are not. They don’t-and cannot be expected to know—what it is like to be a person of color in the United States. What my parents did—and what you can do as you parent a child of a different race-is be aware that despite your longings for a world where your love will be enough to protect your child from racism and a trip to your child’s birth country or your attempts to celebrate cultural holidays with them will NOT be enough to give your children the racial identity that they deserve and desperately need. In other words, my parents taught me about Korea, but they couldn’t teach me how to be Korean.

So, go ahead visit China or Korea or Guatemala with your child. It is a great way for both of you to experience and honor your child’s culture. But understand that this, alone, does not give your child the racial identity that she will desperately need as she matures.

As I grew up, my experiences and conclusions were surprisingly different than my parents, not just because I was adopted, but because of my perspective-as a Korean-American adopted woman. Sometimes, it is hard for us to bridge the gaps, after all we, grew up speaking the same language, eating the same food and listening to the same music. But my parents simply are not people of color and sometimes forget that when you are a person of color everything is about race.

So as parents grapple with adoption and culture issues, I would implore you not to ignore another key question. “How am I going to help my child develop a healthy sense of racial identity?” Culture camps, trips to birth countries, support groups are all a great first step, but they are easy first steps. Helping a child of a different race develop a healthy sense of her racial step is a lot more complicated and deserves much more thought and attention.


2. In your opinion, what are the benefits of international adoptions rather than domestic?

International and domestic adoptions have different challenges and similar issues, but I would not look at which one is “better” because both are very complex.

There is the perception that domestic adoption is faster. This perception is generally true-unless parents are interested in adopting a Caucasian infant (African-American children represent the highest percentage of children available for domestic adoption).

Many people ask the question about domestic vs. international adoption with the presence of birthparents in the subtext. Many people are initially drawn to international adoption believing that inability to connect with their child’s birthparents will somehow be positive or easier for their child.

Let me squelch that belief right here! As an adopted person with no knowledge or information about my birthmother in Korea I can tell you she is a presence in my life and I think about her often. Since it is an issue for me, it is an issue for my parents as well. I am happy that I can talk to my parents about my feelings about my birth family without fear.

Thankfully, as parents begin to understand their children’s needs they begin to see-as mine did-that their children have a right and a need to know about their history and a way to come to terms with it.


3. We are what is now called a "conspicuous adoption" as my husband and I are very anglo and our son is from Kazakhstan but looks Asian. It bothers me that people just assume he is adopted. He could be my husband's child with, say, a deceased wife. We are proud he is adopted and we have decided to educate people and help promote adoption by answering questions when it is appropriate. However, how can we keep the focus on the fact that we are a family? Not a couple, with an adopted child?

I know the term “conspicuous adoption” is widely used to describe family formed through trans-racial adoption. Truthfully, as a person of adoption, I don’t like it and think that it has negative connotations that could be hurtful to the child involved.

When it comes to trans-racial adoption, or any adoption, people will make assumptions about your family and say ignorant and insensitive things. That is an unfortunate fact of life that many people are tirelessly working to change. While this information is true, it doesn’t make it any easier to deal with. There are many great resources that help families deal with these issues. These range from using humor-“we’re from Mars”, to spending ten minutes educating people on the joys of adoption, but they have several common themes.

  • Be comfortable with who you are-as a person-and as a family so that you can deal with inappropriate questions and comments with confidence and conviction. Ask yourself why it bothers you that people assume-rightly that your family was formed through trans-racial international adoption. If you really are proud that your family was formed through adoption then this is a positive and not negative comment.
  • Take care of your child’s feelings first. Children are extremely intuitive and pick up on tension and can sense your feelings; if your son sees you get upset he could interpret that negatively towards himself and the adoption, therefore cutting off crucial dialogue and communication because he does not want to upset you. Before you decide to educate and promote adoption take your child’s feelings into account.
  • Pace yourself and pick your battles: Believe me, I know how frustrating the questions can be and how exhausting it is to feel like you have to explain who you are to people.
  • Focus on the truth: your serenity and confidence with your families formation will make dealing with questions easier to handle. I try to remember that when people say things that invalidate my family it is about them and not me. This has really helped me.

I would really ask people to connect to their true feelings about adoption before they consider adoption. With a trans-racial family, where the child is of a different race than both parents, it is reasonable for people to assume that the child is adopted. I am not sure how a person could be uncomfortable with that, yet say they are proud he is adopted. The two sentiments seem contradictory and would make me wonder if all of the loss issues surrounding adoption were worked through.


4. I am concerned about biases that exist toward anyone of a different nationality, skin color, religion, or sexual preference. As the parent of an openly gay child I am concerned for his physical safety. How do you deflect potentially volatile comments or actions so that they don't escalate into an assault?

Bullying-the strong preying on the weak- has become quite a problem, played out dramatically in our schools. Unbelievably, 1 in 3 children are bullied and in many cases, adults don’t find out about it until it has erupted into violence. We also know that the root causes of bullying are differences—racial, cultural, sexual orientation, family formation, etc. We also know that these biases begin at home-with us. As surely as we pass our family Thanksgiving traditions to our children we pass on our biases-both positive and negative. There are several things that I would like to suggest-they helped me when I was younger and may help you.

  • Build their self-esteem: make them believe that ‘different’ is just that….not better or worse and live it!.
  • Don’t pass on your biases: this takes awareness and self-restraint.
  • Prepare your child for the realities he will face: not the one that you wish for, but the one that is.
  • Give him the tools to protect himself with: role playing can be incredibly powerful.
  • Get involved: don’t just sit and wait for something to happen. Hundreds of schools in the United States have formed task forces and diversity committees to deal with bullying. Make sure your school is one of them.
  • Insist on “zero tolerance” for bullying—from comments through physical violence. You might have to be the one to take the stand!
  • Make sure you child knows that he has a 'safe haven’ with you. Foster a sense of support and openness that will allow him to tell you when things go awry. This kind of early warning system can and does save lives…literally.
  • Get help if you need it: and don’t hesitate!

5. What is the one thing that your parents could have done that would have helped you the most!

First of all, remember that I love my parents. I LOVE THEM with all my heart!

We are living proof that people can bond and be a strong family without sharing the same blood. It happens every day.

The one thing that my parents could have done was to help prepare me to deal with issues of racism and racial identity. While my parents did a remarkable job when it came to diversity-they have always embraced different cultures, , races, religions and sexual preferences- at a time where parents were told to assimilate the children and do not acknowledge difference-when it came to racial identity there personal experience was so different than mine-as a person of color-that sometime I felt alone.

In my family, race and racism were not discussed enough and when they were it was not productive. I wanted my parents to know the specific stereotypes and challenges I face so I can openly communicate and express my feelings honestly and openly, even when upset and angry. I wanted them to validate my feelings-even if they didn’t understand them.

Let me give you an example. When I was young, we would travel north of our town where there were no people of color. Needless to say, people would point and stare at me and my family. I would get upset and angry at this and it would be compounded when my mom would try and explain it away by saying that people were staring because I was so pretty. While I recognize now that my mother was trying to protect me, we both know (and knew) that people were staring at me because I was different! How I wished my mother had just acknowledged that, rather than invalidate my feelings.

I have the solid relationship with my parents in spite of the many times I internalized my feelings and then exploded. Through it all my parents stuck by me and I never doubted that they loved me no matter what. I felt that I could always be myself and that they would accept me as I am.

I love them. They are my parents. Nothing can break that bond!

http://www.simpleasthat.com/interviews/index.php?person=Nancy.Kim.Parsons

Growing-up Pains

Growing-up Pains

1.Did you ever quarrel with your parents as a teenager? If yes, what and who started it?
2. What do you think a good relationship between children and parents should be like and why do you think so?
3.Do you agree with the proverb:”East or west, home is the best.”? Is home a best place for a teenager? Explain.
4.When do you most miss your home and your parensts.
5.If you were a parent, what would you do if your children refused to take your advice,which you thought was best for them?

While we’re still children,most of us live at home with our parents more or less peacefully,but as we become teenagers,things change, and we all know the sort of difficulties we are likely to have.
What is called the gap between generations we all have to conquer.As we were no more one little kid, we become self-righteous and ignore other’s opinion especially from our parents. One day we may reflect on our past, we regret, mostly it was not too late. However, it’s not always for everyone to have that luck.So why not avail the limited time doing something goodness to your parents so as not to be late when you come to yourself.
Maybe you are already an adult and you have fufilled your duties as a son or daughter, but did you ever really consider what they want on earth. Sometimes they just want to see you more than receiving large number of money. They prefer to talk to you much more than accompanying with several servants.I know it’s not my place to advise you how to deal with relationhips with your parents, but all I said is from the bottom of my heart.
I am a twenty two year old young man, and I seldom express my feeling to my parents.Perhaps Chinese are always too shy to orally express their love. Recalling my past, I had some arguments with my parents but barely remember for what reasons. I didn’t regret because I didn’t feel like making mistakes.The most important point is that I never make mistake which relates to principles.My parents are thoughtful and caring people, so I always feel gratitude growing up in such a pleasant family.
No matter what kind of family you live, you should always cherish how much pain and hardship they pay for you

The proverb: East or west, home is the best is surely right .the love betwween our parents and us doesn’t be connected with blood raletionship merely,but better than these .
people overseas , leaving hometown to deveolp themselves may feel lonely and recalled many details their got along with their parents .At this time a myriad twinkling lights of a city is yearned for by us .though we sometimes behave immaturely,we will quarrel with them because of trivial matters.we still need to cherish time accompanying them。
everyone as a children must go through a detour ,what we can do is to end this period earlier . then we will understand the true love deeply

1
From a child to an adult, I was always considered to be an honest, frank and sensible one in my parents’ mind. Both my parents and grandparents all were simple farmers, they lived in the remote countryside for generations; all long their lives were poor and closed as most of people were in my village, and my parents never demanded too much of me and my brothers. So, I hardly quarreled with them, but I often fought and brawled with my elder brother who was used to force or cheat me to do the housework of his responsibility in my childhood. Hah, it was a how interesting experience with my growing-up.
I was in a big family, including my two brothers and a little sister, and I was the second child in my family. When I was a boy, I never paid conscious attention to the relationship with my parent because all my brothers and sister were treated alike by my parents. We seldom felt lonesome or unfair; usually the relationship between children in a family more favored the growth of child than the relationship between children and parents. But in the times of my middle school, sometimes I ever felt that my parents were so poor and unable to do anything, but only farming; I thought they were so vulgar and unadmired. But in my college times, I more and more felt proud: my parents were so great and self-giving for their four children.
Perhaps, the relation between parent and children may be like friends, teacher and student, the superior and the subordinate, or others. But I think the most important point must be effective communication between parents and children when the children have been teenagers. If a parent wants his children to do something, he should frankly tell his children the reason and the intention, for example, why to do it, why by this way, the priority and difference by other ways, etc. When children are a teenager or older, usually they think they have been independent and thoughtful persons, they long to be considered as highly valued, like to be recognized and praised, and greatly hate to be forced to do something but be told nothing.
So, in my mind, exchanging ideas always is the best way to solve the interpersonal problems, especially between parents and children.
At last, if you still are in childhood, please know all the parents of the world are great, and children are not to be blamed for the faults of their parents; if you have been a parent, please know all the children of the world are cute and potential, they have the same capacity for growth and development as a great person, what you shoud do maybe just open the lid but don’t break the vessel

there was an American TV drama program called “growing pain” which prevailed several years ago. the several kids are all messed up by their teenager life. the relationship between brothers,sisters, parents and lovers seens always the mainstream of the drama.
now looking back on my days of highschool, it was really tough for me to cover. I remembered clearly the emotions that lectured by parents and teachers. I was easy to be enraged and very emotional to deal with eldership’s advices. All I wanted is to be free and be myself. so I fancy prevailing suits and make fashionable hair style. and I thought the spirit of youth is: trying verything new, keeping mind open, and making your own style.
time goes by, the cynical engergy is fading away. the things we have done some time appear in our mind, we just smile for our juvenal and immatural records, its nobody’s fault. that’s a part of life. I never regret I was ever young

Growing Pains
Well, as a teenager, I believe we all have growing pains. Reasons are divided: talktive parents, a boyfiend who won’t love you any longer, a perfect friend who attract all the attention…
But one thing we bear in mind is that if there’re no parents, we even don’t have the right to live and to experence those essencial things though they seem not that good. Being thankful must come first. Though sometimes it seems that our parents are not that in, even occassionally, they are out. Out of fashion, time….everything. It’s not the right time to try to get rid of them no matter physically or mentally. Instead, we should be patient, just as the way they were when we were young.
I often talk a lot about the “in” things before my parents in order to make the generation gap smaller. Guess what? I really did. And because of this our relationship are more like friends. There’s no wonder that is the best one between parents and children. Then whatever troubles I come into in my life, I will tell them and they never criticize the things I did but just stay by my side and encourage me, like friends…

http://www.so-bu.com/index.php/archives/16/comment-page-1

Rejected by my parents

A parent's rejection, whatever the reason, can be very hard to face. TheSite talks to two people who were rejected by their parents because of their beliefs and sexuality.

Carina, 21, was brought up in a very religious family. When she lost her faith, her family turned their back on her. Here's her story:

When I was a child I believed in God. My family were close and we lived in a Jehovah's Witness community separate from others who didn't share our faith. If anyone left the religion or broke its rules, they were punished with 'disfellowshipping'; where the person is ostracised by friends and family and not allowed to associate with anyone from the religion. I knew the effect disfellowshipping had on a family as my aunt had left the religion and went on television denouncing it; when my father found out he didn't talk to her for many years.

Having doubts

My beliefs started to change in secondary school when I became exposed to other ideas like evolution. I left home at 18 to go to university and my Dad refused to give me any financial support, as they don't agree with higher education.

Getting disfellowshipped

I had a boyfriend at university. Someone from the religious group saw us and I was summoned to appear at a meeting with three elders from the congregation. It felt like I was on death row. I knew they were going to disfellowship me and I felt sick about what the implications were.

After I was disfellowshipped, my parents didn't cut me off immediately but none of my friends could talk to me. When my best friend got married, I wasn't allowed to talk to her or go to the reception. I had to leave before the ceremony ended as no one was allowed to associate with me. I couldn't stay in my parents home for longer than 48 hours or the elders would remove my Dad's privileges in the congregation. My parents weren't prepared to let that happen over me.

End of contact

Eventually I moved in with my boyfriend. When I told my Mum the news, she told me she couldn't have anything more to do with me. I was broken-hearted. I'd get upset at family movies, or when I saw a mother and daughter on the bus together. I heard my brother got married last year but he doesn't want anything to do with me. They just can't accept my lifestyle.

Learning to cope

I used to be really angry about it all, over how unfair it was. But in retrospect, I'm glad it happened. It's made me stronger and more self-reliant. Fortunately I'd made good friends I could talk to when it was happening, although I think counselling could also have helped if I'd had access to it. Above all I've learned you have to be true to yourself. Real love means accepting people for who they are, not who you'd like them to be. Although my parents couldn't do that, I'm lucky to have found friends who can.

My family and I have recently got back in contact with each other. It's a difficult process and it's going to take some time for the trust to return, but we are trying to rebuild our relationship and I hope we can succeed.

"I tried calling home recently, just to let them know I'm OK. Dad answered and hung up when he realised it was me."

For Joe, 22, it was his sexuality his parents couldn't accept. This is what happened:

By the time I was in my mid teens I knew I was gay. I was worried about telling my family; they aren't religious but they are very traditional. We weren't close and I didn't have much hope they'd understand. I was expecting the worst but prayed for them to show that they at least loved me even if they disapproved.

Coming out

After building myself up for it, I finally got them to sit down so I could tell them. I asked them to listen to everything I had to say before I started, but I never got to say it - my Mum just blurted out "you're gay aren't you?" and then they were arguing with each other. My Dad just stared at me, but he couldn't look me in the eye. Then Mum started blaming him for not being a good role model. I just started crying. I felt like dropping off the face of the earth. I wanted to take it back, but I couldn't. I just felt scared.

Getting kicked out

Over the next couple of weeks, they didn't know what to do with me. There were lots of outbursts, usually something like "how could you do this to us?" Then they just started to ignore me. The atmosphere in the house was agonising. Then one Thursday they kicked me out. Dad told me I couldn't live under his roof if I was going to live my life in a 'disgusting, perverted way'.

I headed for London. I wound up on the street for a short while before I managed to befriend some squatters. The place was pretty awful, there were cockroaches, but even so, it was better than home. It took a long time, but eventually I came out to the girl in the next room, and she was lovely. It was what I'd needed all along and I remember just sobbing in her arms. She worked in a pub and managed to get me a job there too. She's my best friend now.

I tried calling home recently, just to let them know I'm OK. Dad answered and hung up when he realised it was me.

Unconditional love?

I feel angry towards my parents. They should have loved me no matter what. Being gay is a big part of me - how could they ask me to deny that? All I wanted was for them to accept my being gay. It still hurts that they think so little of me but I'm better off without them.

To anyone going through this, I'd suggest taking a step back and looking at what kind of people your parents are. Are they open-minded? Even if they disapprove, will they love you anyway? If you have good friends then you'll need them to be there for you. It's a big step and you need support. If you get rejected like I did then remember that, as devastating as it may seem at first, you'll make it. Find support - it's out there. And know that you're right to want to express the fact that you're gay.

Interviewed by Marcella Carnevale

http://www.thesite.org/community/reallife/truestories/rejectedbymyparents

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

quote #1

INSPIRATION QUOTE
“Your time is limited, so don't waste it living someone else's life. Don't be trapped by dogma - which is living with the results of other people's thinking. Don't let the noise of other's opinions drown out your own inner voice. And most important, have the courage to follow your heart and intuition. They somehow already know what you truly want to become. Everything else is secondary.”- Steve Jobs

“Anyone can give up, it's the easiest thing in the world to do. But to hold it together when everyone else would understand if you fell apart, that's true strength.”

“Courage is the discovery that you may not win, and trying when you know you can lose.”

“If you only do what you know you can do- you never do very much.”

“Enthusiasm is excitement with inspiration, motivation, and a pinch of creativity.”

“Music is what feelings sound like.”

“Courage doesn't always roar. Sometimes courage is the quiet voice at the end of the day saying, "I will try again tomorrow.”

“You are the embodiment of the information you choose to accept and act upon. To change your circumstances you need to change your thinking and subsequent actions.”

“There are no failures - just experiences and your reactions to them.”

“Being deeply loved by someone gives you strength, while loving someone deeply gives you courage.”

http://thinkexist.com/quotations/inspiration/

TIME QUOTE
“For every minute spent in organizing, an hour is earned.”

“Time is free, but it's priceless. You can't
own it, but you can use it. You can't keep
it, but you can spend it. Once you've lost it
you can never get it back.”

“Take time to deliberate; but when the time for action arrives, stop thinking and go in.”

“The only reason for time is so that everything doesn't happen at once.”

“Life is all about timing... the unreachable becomes reachable, the unavailable become available, the unattainable... attainable. Have the patience, wait it out It's all about timing.”

“Your time is limited, so don't waste it living someone else's life. Don't be trapped by dogma - which is living with the results of other people's thinking. Don't let the noise of other's opinions drown out your own inner voice. And most important, have the courage to follow your heart and intuition. They somehow already know what you truly want to become. Everything else is secondary.”

“In good times and bad times, I'll be on your side for ever more...that's what friends are for.”

“Difficult times have helped me to understand better than before, how infinitely rich and beautiful life is in every way, and that so many things that one goes worrying about are of no importance whatsoever...”

“You can't change the past, but you can ruin the present by worrying about the future”

“Don’t count every hour in the day, make every hour in the day count.”

http://thinkexist.com/quotations/time/

LIFE QUOTE
“Just remember, the same as a spectacular Vogue magazine, remember that no matter how close you follow the jumps: Continued on page whatever. No matter how careful you are, there's going to be the sense you missed something, the collapsed feeling under your skin that you didn't experience it all. There's that fallen heart feeling that you rushed right through the moments where you should've been paying attention. Well, get used to that feeling. That's how your whole life will feel some day. This is all practice. None of this matters. We're just warming up.”

“Intellectual growth should commence at birth and cease only at death”

“Dream as if you'll live forever, live as if you'll die today.”

“The longer I live, the more I realize the impact of attitude on life. Attitude, to me, is more important than facts. It is more important than the past, the education, the money, than circumstances, than failure, than successes, than what other people think or say or do. It is more important than appearance, giftedness or skill. It will make or break a company... a church... a home. The remarkable thing is we have a choice everyday regarding the attitude we will embrace for that day. We cannot change our past... we cannot change the fact that people will act in a certain way. We cannot change the inevitable. The only thing we can do is play on the one string we have, and that is our attitude. I am convinced that life is 10% what happens to me and 90% of how I react to it. And so it is with you... we are in charge of our Attitudes.”

“Laugh as much as you breathe and love as long as you live.”

“It hurts to love someone and not be loved in return, but what is the most painful is to love someone and never find the courage to let the person know how you feel.”

“Nobody can go back and start a new beginning, but anyone can start today and make a new ending.”

“Life is full of beauty. Notice it. Notice the bumble bee, the small child, and the smiling faces. Smell the rain, and feel the wind. Live your life to the fullest potential, and fight for your dreams.”

“Don’t ask what the world needs. Ask what makes you come alive, and go do it. Because what the world needs is people who have come alive.”

“To love is to risk not being loved in return. To hope is to risk pain. To try is to risk failure, but risk must be taken because the greatest hazard in life is to risk nothing.”

http://thinkexist.com/quotations/life/

Pay It Forward #4

Imagine you're despairing over a major problem in your life, and someone comes along and solves it for you, relatively unconditionally. All you have to do is "pay it forward", i.e., do a similarly big favour to three others. Would you do it?

That's the premise behind Pay it Forward, an overly sentimental film with some provocative ideas. The concept originates when Eugene "be careful with that axe" Simonet (Kevin Space) challenges his Seventh grade class to come up with an assignment to change the world. Trevor (Haley Joel Osment) comes up with the pay-it-forward concept and first decides to help a homeless heroin addict get back on his feet, then help Eugene and his mother (Helen Hunt) get together (which really makes for two favours), and then help his friend who's being pushed around by bullies in school. This "movement" spreads relatively unnoticed until a reporter in Los Angeles who loses his car is handed a brand new Jaguar and tracks down the source of this favour chain.

With a stellar cast consisting of Kevin Spacey, Helen Hunt, and Haley "I see dead people" Osment, the movie works pretty well under Mimi Leder's direction. The southern California/Nevada cinematography is done well. The dialogue is the weakest aspect of the film and is a bit hackneyed at times. More than the primary plot itself, the various underlying subtexts involving domestic abuse and alcoholism are interesting.

The concept of pay-it-forward is how most of human society works to the extent it does (some of it has even been institutionalised in the form of religion and government). The problem is that the notion is simply not idealistic enough. Performing three big favours just does not cut it. Not only does there need to be a significantly larger amount of favours done through the course of one's life, but the more important thing is that people don't do negative or harmful things to others to an equally large degree. Doing three big favours is pointless if you've done more harm than any favour can repay. A better (and much more idealistic) concept would be to live life without doing any harm to others (which also would not be adequate, but would be much more effective than a three-favour scheme).

What Pay it Forward really illustrates is that it is harmful to oneself and to others to be apathetic towards other people's problems. However, to maximise the balance of doing good to others and not doing harm, one also has to choose their battles wisely. This doesn't mean inaction, as much as realising that certain solutions simply don't work. For example, using violence as a solution never works since violence always begets violence ("what's good for the goose is good for the gander"). On that note, Pay it Forward also throws in a message about school violence.

Pay it Forward is a thought-provoking movie that definitely could've achieved loftier and mightier goals if it were a bit more rigourous. As it stands, it'll warm the cockles of peoples' hearts, but I'd wager that the feeling won't last for too long. I recommend checking it out during a matinee.

http://www.ram.org/ramblings/movies/pay_it_forward.html

Pay It Forward #3

This is a sentimental and emotionally convincing story about decency and change. It is not only about the possibility of being decent towards one's own kith and kin, or to completely untempting strangers (witness the rich businessman who hands over his Jaguar to a pushy hack), but also about the changes a well-disposed individual can make. Idealistic to its core, it's the kind of film that would have been built around James Stewart 50 years ago.

Asked by his social studies teacher Eugene (Kevin Spacey) to come up with a plan for fixing things he dislikes, Trevor (Haley Joel Osment) invents the notion of 'pay it forward', which involves individuals performing three acts of kindness once they have received one each. In this way America will, of course, become a nice place. The plot progresses cleverly to a situation of supreme irony where Eugene's own neediness is exposed (his face and body are badly burned), and he yearns for Trevor's alcoholic but concerned mum (Helen Hunt), causing Trevor to become the teacher, having achieved wisdom rather quickly.

All three leads are first-rate. Oscar-winners Kevin Spacey and Helen Hunt, as well as Oscar-nominee Haley Joel Osment (star of "The Sixth Sense") are possessed of such depth that their individual inner conflicts are visible in every twitch. To their credit, neither Spacey nor Hunt give a fig about being image conscious, while Osment is quite mesmerising as he allows a river of complex emotions to run across his face for great stretches of the film.

It is hard for a film of this kind not to come across as manufactured at times, yet director Mimi Leder, whose work includes "Deep Impact" and "ER", is much more able than expected when it comes to 'what if?' fantasy.

Visit the official "Pay It Forward" website.

The BBC is not responsible for the content of external websites

http://www.bbc.co.uk/films/2001/01/23/pay_it_forward_2001_review.shtml

Pay It Forward #2

โดย นันทวัน กิจธนาเจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต


ทฤษฎี Pay it forward หรือแนวคิดที่ว่า เราทุกคนสามารถสร้างโลกให้น่าอยู่ได้ โดยเริ่มทำความดีจากตัวเราเอง ช่วยเหลือคนรอบข้างที่เดือดร้อน ขณะผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือก็มีหน้าที่ตอบแทนโดยการส่งมอบความช่วยเหลือ ให้แก่ผู้อื่นต่อไปเรื่อยๆ เมื่อมีโอกาส เพียงเท่านี้การทำความดีก็จะเพิ่มขึ้นทวีคูณไม่สิ้นสุด และสามารถเปลี่ยนโลกของเราให้น่าอยู่ได้

การ สื่อสารไร้พรมแดนในยุค ไซเบอร์ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ทฤษฎี Pay it forward นี้ชัดเจนขึ้น เช่น การส่งต่ออีเมล์เพื่อขอรับบริจาคโลหิต หรือการขอ ความช่วยเหลือด้านอื่นๆ ถือเป็นการส่งต่อความช่วยเหลือที่สร้างปรากฏการณ์และปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้น มาแล้วทั่วโลก

เรา สามารถนำทฤษฎี Pay it forward มาปรับใช้ในการทำ CSR ในองค์กรธุรกิจได้ไม่ยาก โดยเริ่มด้วยการสร้างวัฒนธรรมการทำความดี ผลักดันให้เกิดเครือข่ายจิตอาสาในองค์กรอย่างกว้างขวาง โดยการสนับสนุนให้พนักงานรวมทั้งครอบครัวได้มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมเพื่อ สังคมกับบริษัท และนำแนวคิดไปต่อยอดสร้างเครือข่ายการทำความดีให้กับชุมชนรอบๆ ตัวต่อไป

นิวยอร์ค ไลฟ์ อินชัวรันส์ หนึ่งในบริษัทประกันชีวิตชั้นนำและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีอายุกว่า 164 ปี เป็นอีกองค์กรหนึ่งที่สนับสนุนให้พนักงานและตัวแทนขายมีจิตอาสาและร่วมทำ ความดี ในรูปของกิจกรรมอาสาสมัครอย่างชัดเจน โดยได้จัดตั้งโครงการ Volunteer For Life ขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1988 เพื่อส่งเสริมให้ พนักงาน ตัวแทนขาย และครอบครัวเข้าร่วมกิจกรรมอาสาสมัครทั้งที่บริษัทจัดขึ้น หรือเข้าร่วมกับองค์กรการกุศลต่างๆ เพื่อช่วยเหลือสังคมและชุมชนที่อาศัยอยู่โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน มากกว่าเน้นการช่วยเหลือในรูปของการบริจาคเงิน สิ่งของเท่านั้น ซึ่งแสดงออกถึงความมีน้ำใจและความ เอื้ออาทรได้อย่างดี โดยเชื่อว่าการทำ ความดีของเครือข่ายพนักงานจะนำไปสู่สังคมแห่งการทำความดีอย่างไม่มีที่สิ้น สุด ซึ่งวัฒนธรรมนี้ถูกถ่ายทอดไปสู่เครือข่าย นิวยอร์คไลฟ์ทั่วโลกด้วย

และ ในภาวะเศรษฐกิจที่ยากลำบากเช่นนี้ นิวยอร์คไลฟ์ยังเดินหน้าที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในระดับสังคมโลกด้วยการริ เริ่มกิจกรรมเพื่อสังคม ภายใต้ชื่อ Global Month of Service หรือเดือนแห่งการให้ เพื่อช่วยเหลือเด็กและเยาวชนด้อยโอกาสให้มีคุณภาพชีวิตและได้รับการศึกษาที่ ดีขึ้น เป็นการดำเนินรอยตาม

พันธกิจด้านมนุษยธรรมขององค์กรที่จะยืนเคียงข้างชุมชนทั้งยามสุขและยามทุกข์เสมอ

โดย พนักงาน ตัวแทน พนักงานเกษียณอายุและครอบครัวในเครือข่ายนิวยอร์คไลฟ์ 9 ประเทศ จากสหรัฐ ละตินอเมริกาและเอเชียกว่าหมื่นคนจะพร้อมใจกันเป็นอาสาสมัครร่วมกับองค์กร การกุศลต่างๆ หรือร่วมกิจกรรมเพื่อสังคมที่แต่ละประเทศจัดขึ้นเพื่อช่วยเหลือเด็กเยาวชน ที่พิการและด้อยโอกาสพร้อมกันทั่วโลกเป็นครั้งแรกตลอดเดือนพฤษภาคมนี้ เช่น ทั่วสหรัฐมีกิจกรรมอาสาสมัครได้ร่วมกับองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรหลายแห่ง เช่น Big Brothers Big Sisters, City Year New York, Children for Children, Bereavement Center of Westchester, Blythedale Children"s Hospital, New York Cares ส่วนกิจกรรมอาสาสมัคร ได้แก่บูรณะและตกแต่งโรงเรียนให้สวยงามและแคมป์การศึกษา ในแมนฮัตตันจัดโอลิมปิกเกมส์ให้แก่เด็กในนิวเจอร์ซีย์ เยี่ยมเด็กที่ Children"s Medical Center ในเทกซัส จัดเลี้ยงอาหารเพื่อสุขภาพให้แก่เด็กๆ ร่วมกับ Ohio Children"s Hunger Alliance ในโอไฮโอ และในเนวาดาจัดชุดอุปกรณ์การศึกษาให้เด็กกว่า 1,300 คน เป็นต้น

ส่วน ในประเทศจีน ไฮเออร์ นิวยอร์คไลฟ์ได้ร่วมรำลึกครบรอบ 1 ปีของการเกิดโศกนาฏกรรมแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในมณฑลเสฉวน โดยเหล่าตัวแทนพนักงานและครอบครัวได้ร่วมกับ ECYP (Developing Center of The Young Pioneers) จัดงานออกร้านจำหน่ายสินค้า ประมูล และร่วมบริจาคสิ่งของ โดยรายได้ทั้งหมดจากการจัดกิจกรรมครั้งนี้จะมอบให้กับโรงเรียนต่างๆ ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น

สำหรับ ประเทศไทย ไทยพาณิชย์ นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิตได้ร่วมขับเคลื่อนโครงการ Global Month of Service เช่นกัน โดยพนักงานตัวแทนและครอบครัวกว่า 150 คนจะร่วมสานต่อกิจกรรม "เติมความรู้...ปันรอยยิ้ม" ปี 2 ให้แก่น้องๆ โรงเรียนบ้านเขาตะแคง อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นโรงเรียนอุปถัมภ์แห่งแรกของบริษัท โดยต่อยอดการช่วยเหลือจากปีที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มอุ่นเครื่องกิจกรรมตั้งแต่ช่วง pre volunteer day ตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมพนักงานได้ร่วมประดิษฐ์สื่อการเรียนรู้ เสริมทักษะภาษาไทย อังกฤษ การคำนวณให้น้อง การออกร้านขายของเพื่อระดมทุนการศึกษา รวบรวมสิ่งของบริจาคทั้งอุปกรณ์การเรียน หนังสือ เสื้อผ้า ของเล่น อาหาร ส่วนวัน volunteer day ยังได้ร่วมกันทาสีตกแต่งห้องสมุด ซึ่งบริษัทได้บูรณะขึ้นใหม่ทั้งหมด ขยายแปลงผักสวนครัว บ่อปลา ในโครงการอาหารกลางวันเพื่อน้อง ส่วนไฮไลต์เด็ดคือการจัดแคมป์การออมเพื่อให้ความรู้และปลูกฝังค่านิยมการออม แก่น้องกว่า 100 คน ภายใต้ปรัชญาการดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงอีกด้วย

หาก CSR หรือการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม เกิดขึ้นจากรากฐานของการทำความดีคืนสู่สังคมจริงๆ เพียงทุกองค์กรร่วมกันผลักดันให้เกิดวัฒนธรรมแห่งการทำดี สนับสนุนให้พนักงานมีจิตอาสาเพื่อประโยชน์ส่วนรวม สิ่งเหล่านี้จะย่อมนำไปสู่ภาพลักษณ์ที่ดีและมีความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งถือว่าบรรลุวัตถุประสงค์ของการทำ CSR อย่างแท้จริง

Credit : http://www.matichon.co.th/prachachat/view_news.php?newsid=02csr03290652&sectionid=0221&day=2009-06-29

http://www.volunteerspirit.org/node/1493